แนะนำ 11 ร้านติดดาวมิชลิน ส่งตรงความอร่อยถึงบ้าน
เมื่อร้านติดดาวมิชลิน ส่งตรงความอร่อยถึงบ้าน โดยสามาชิกพันทิปคุณ buenos โด้โพสต์แนะนำ 11 ร้านติดดาวมิชลินเล่าว่า...สวัสดีครับ นับตั้งแต่ที่ร้านอาหารต่าง ๆ เริ่มปรับการให้บริการเป็นแบบนำกลับบ้านตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา
และได้มีการปรับเวลาการให้บริการให้สอดคล้องกับข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ก็เลยเป็นเหตุให้ผมซึ่งเคยมีนัดรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละหน ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกือบทั้งหมด หันมาปรุงอาหารรับประทานเองบ้าง แต่โชคยังเข้าข้าง ที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็มีการปรับพฤติกรรม ทำให้การรับประทานอาหารแบบ fine dining หรือไม่ก็การรับประทานอาหารที่การันตีด้วยดาวมิชลินยังไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนักครับ
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ผมขอรีวิวร้านอาหารติดดาวมิชลินที่เปลี่ยนแปลงมาให้บริการแบบนำกลับบ้านหรือส่งถึงบ้าน โดยเป็นการรีวิวแบบรับประทานจริง จ่ายเงินจริง ชมจริง วิจารณ์จริง ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
1. R.HAAN (อาหาร) two michelin starred restaurant
น่าจะเป็นร้านสองดาวมิชลินแห่งเดียวที่เปิดขายแบบส่งถึงบ้านอย่างจริงจังราวกับอุตสาหกรรม (ส่วนร้านที่เปรียบมวยกันประจำอย่างศรณ์ก็ยังเปิดแบบจำกัดจำเขี่ย และก็จองได้ยาก(กว่าเดิม) ขณะที่ร้านตะวันตกสองดาวคือ นอร์มังดี ชูห์ริง และเมซซาลูนาคือปิดชั่วคราวไปเลย) ผมตั้งใจจะสั่งร้าน R.HAAN มาลองนานแล้ว แต่เปลี่ยนใจไปมา ตอนแรกจะสั่ง
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ขออนุญาตนำภาพบางส่วนมาเปรียบเทียบก่อน นอกจากเมนูแบบสำรับมื้อค่ำที่อลังการ แต่ยังราคาถูกที่สุด (หรือแพงน้อยที่สุดดี)เมื่อเทียบกับร้านสองดาวแห่งอื่น ๆ คือ 2,912 ++ แล้ว ช่วงหน้าร้อนเชฟชุมพลท่านจะเปิดร้านช่วงเที่ยงเป็นเมนูตามสั่งง่าย ๆ จำพวกข้าวแช่ ขนมจีน แต่ที่ผมว่ารสชาติดีจริง ๆ จะเป็นแกงเขียวหวานซี่โครงเนื้อวากิว อร่อยมาก ๆ ส่วนไข่พะโล้คุณย่ารสชาติคือกำลังดีเลย และที่ดีสุด ๆ คือของหวาน (ปีนี้อยู่บ้านก็มีให้สั่งกลับบ้านนะครับ) ได้แก่ ไอศกรีมกะทิกล้วยไข่เชื่อม แต่เข้าใจว่าของที่สั่งกลับบ้าน จะไม่ได้อลังการเท่ากับแบบที่ร้านครับ (สังเกตจากรูปได้ มาเต็มทั้งกะลามะพร้าวและน้ำแข็งแห้ง) ราคานั่งรับประทานที่ร้านปีก่อนเท่ากับราคาที่สั่งกลับบ้านในปีนี้ แต่สั่งกลับบ้านจะไม่มีบวกค่าบริการครับ
R.HAAN (อาหาร) two michelin starred restaurant
R.HAAN (อาหาร) two michelin starred restaurant
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
ร้านบริการดีมากครับ ตอบไลน์มีประสิทธิภาพ ตอนส่งก็อลังการเพราะมาเป็นรถปิคอัปหลังคาสูงแบบที่เข้าบ้านผมไม่ได้ ต้องเดินไปรับกลางซอย กล่องแพคมาดี แบบเดียวกับกล่องกระดาษ A4 ขนาด 5 รีม ข้างในแยกกันเกือบทุกคอร์ส มีสติกเกอร์ติดลำดับคอร์สกันกินผิด มีรายละเอียดอาการพร้อมชื่อคนสี่งแยกมา ช้อนส้อมพร้อม เจลล้างมือขนาด 50 ml ก็อภินันทนาการมานะครับ ที่ผมแปลกใจคือเดิมสำหรับหลักจะได้ต้ม 2 อย่าง แกง 2 อย่าง น้ำพริก 2 อย่าง แต่ตอนนี้ต้องเลือกเอาเพียงประเภทละอย่าง ถ้าอยากได้หมดต้องจ่ายเพิ่มอีก 1,000+ ซึ่งผมไม่จ่าย และเลือกเอาแบบนี้ในราคา 1,712 สุทธิ มีค่าส่งในรัศมี 20 กิโลเมตรในอัตราเดียวคือ 100 บาทถ้วนซึ่งนับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ
อาหารจะกินเป็นคอร์ส แพคมาดีจริง คอร์สแรกแยกมาสองถ้วย เป็นม้าฮ่อหนึ่งคำ อร่อยดีเลยโดยเฉพาะส่วนหน้าที่เป็นถั่ว ส่วนสับปะรดก็จัดรูปมาคล้ายช้อนทำให้หยิบเข้าปากง่าย ปลาแห้งแตงโม แตงโมฉ่ำดี ปลาแห้งสิงห์บุรีอร่อยตามมาตรฐาน นับเป็นอะมุซบุชที่เข้าท่าเข้าทางและเวอร์วังสำหรับการรับประทานที่บ้านครับ
จบจากนี้จะเริ่มเรียกน้ำย่อยจริงจังด้วยอาหารสี่อย่าง อย่างแรกพล่าส้มโอทับทิมสยาม ชอบความหวานฉ่ำของวัตถุดิบ ขนาดขนส่งไกลกลีบยังสวยคงรูปไม่ช้ำ กุ้งลวกมาเด้งอร่อยสุกกำลังดี ที่อร่อยอีกอย่างคือน้ำราดยำครับ ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงน้ำจิ้มคอหมูย่าง แต่อร่อยกว่า เข้มข้นกว่า และเคลือบตัวกุ้งและชิ้นส้มโอได้ดีกว่าครับ จานเรียกน้ำย่อยที่สอง เส้นปลาทะเลผัดใบบัวบก ผมค่อนข้างเฉย ๆ กับจานนี้ ไม่ว้าวแต่ไม่แย่ คิดว่ายังชอบผัดไทยเส้นแซลมอนของอิษยาโดยเชฟเอียนมากกว่าอยู่หน่อย ๆ ครับ จานสามปลาร้าทรงเครื่องหมัก 18 เดือนกับชีสเสธฟ้า กินกับข้าวเกรียบ ผมไม่สันทัดปลาร้า ร้านก็กรุณาเปลี่ยนให้เป็นปลาสลิด ซึ่งอร่อยมากเมื่อรับประทานกับชีส เป็นความเค็มและกลิ่นเค็มอ่อน ๆ คนละแบบที่ผสานกันลงตัว กินกับข้าวเกรียบกุ้งหนา ๆ กรอบ ๆ ลืมแครกเกอร์หรู ๆ ไปได้เลยครับ
จานสุดท้ายในอาหารเรียกน้ำย่อยคือ เนื้อแองกัสบุรีรัมย์เอาไปดรายเอจ 30 วันให้นุ่มและมีรสชาติย่างมาแบบที่ผมคิดว่าแรร์ แต่ถ้าเรามาอุ่นในไมโครเวฟอีกนิดก็จะได้มีเดียมแรร์สวย ๆ ครับ เนื้อหอมมาก เพราะย่างมากับเกลือ น้ำปลาและพริกไทยดำ มีกลิ่นเนื้อแค่อ่อน ๆ ส่วนแจ่วพริกหัวเรือ ถ้าชอบรสชาติจัด ๆ เข้มข้น ๆ ก็ทานคู่กันได้ แต่กินเนื้อเปล่า ๆ ก็อร่อย นับว่าเรียกน้ำย่อยสี่จาน คะแนนดีมาก ๆ ถึงสามจาน ปิดท้ายล้างปากก่อนเข้าจานหลักด้วยเชอร์เบตมะยงชิดจากนครนายกและส้มซ่า (โดยมีน้ำแข็งแห้งหล่อมาเสร็จสรรพ) สั้น ๆ โคตรดี แต่ปริมาณแอบเยอะเกินกว่าจะล้างปาก เรียกว่าแทบจะแบ่งเป็นของหวานได้ครับ
จานหลัก คู่แรกให้เลือกต้มยำกุ้งกับไก่เบตงต้มขมิ้น ผมเลือกอย่างแรก กุ้งอร่อย เด้งกรอบให้มาสองตัว เห็ดก็รสดี มันกุ้งลอยในน้ำต้มยำหอมอร่อย แต่การปรุงที่หนักรสเค็มจนนำมากไป ผมรู้สึกว่ามันกลมกล่อมน้อยลง ถ้าเปรี้ยว เผ็ด เจือหวานตามมาได้จะดีกว่านี้ กินแล้วนึกว่าลอกการบ้านเชฟพิมแห่งร้านน้ำ 1 ดาวมิชลินตรงสาทรมาเพราะเค็มวายป่วงพอกันครับ จานหลักที่สอง เลือกระหว่างแกงขี้เหล็กปลาเก๋ากับแกงเขียวหวานเนื้อโคราชวากิว ผมเลือกอย่างหลังเพราะเคยกินแบบตามสั่งที่นี่แล้ว อร่อยเหมือนเดิม ชอบมาก เนื้อนุ่มแต่ยังสู้ฟัน เครื่องแกงหอมอร่อย รสชาติน้ำแกงเขียวหวานเข้าไปแทบจะทุกอณูของเนื้อซี่โครง พริกขี้หนูสวนคือดีงาม เพื่อนผมเคยวิจารณ์ว่าติดเค็มแต่ผมว่ารสกำลังดี หรือเพราะต้มยำเค็มไปแล้วก็ไม่ทราบครับ
จานหลักที่สาม เลือกระหว่างน้ำพริกมะม่วงกุ้งย่างหรือกะปิคั่ว ผมเลือกอย่างหลัง จานนี้ผมได้กินนิดเดียว แต่ให้คะแนนเกินร้อย เพราะคุณแม่ผมรับไปจนหมด ท่านบอกว่าผักเคียงลวกมาดีมากทุกอย่าง และการมีฝรั่งกับชมพู่มากินแกล้มคือสิ่งที่วิเศษสุด กะปิคั่วนี่หอมจรุง รสเหมือนแกงคั่วปนกับน้ำพริขนมจีนและห่อหมกแบบริช ๆ มันหนักทุกรส เค็ม เปรี้ยว เผ็ด หวานแต่ยังสมดุลได้อยู่ และที่ดีสุด ๆ คือท้องปลาเก๋าแดดเดียวทอดดอกเกลือบ้านดุงของจังหวัดอุดรธานี ปลาสดหวานธรรมชาติเจือกับดอกเกลือเค็ม ๆ ละเอียด ๆ ครับ จานสุดท้ายบังคับกิน มาพร้อมน้ำปลาพริก (ที่อร่อยมาก) คือผัดเผ็ดหมูป่าหน่อกระวานจันทบุรี จานนี้ผมว่าพอใช้ เพราะคิดว่าเค็มไป และกลิ่นเครื่องเทศทั้งกระชายกับกะเพราหนักไปนิดครับ แต่หมูป่าเนื้อแน่นดีอยู่ครับ ทั้งหมดนี้รับประทานกับข้าวสองแบบ ดีทั้งคู่ คือ ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ และข้าวกาบาจากอุบลราชธานีครับ
จบจานหลัก เป็นของหวาน มีสามอย่าง สังขยาไข่ฟักทอง 110 วัน อร่อย รสหวานนวลของน้ำตาลแต่เข้มด้วยไข่แดง ไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ ส่วนจานสอง ไอศกรีมกระเทียมดำลำพูนนมสด ตอนแรกกลัวกินไม่ได้ กินไปกินมาหอมนมกลมกล่อม กระเทียมกลิ่นอ่อน ๆ ออกไปทางคาราเมล ไม่ฉุนเฉียว นับว่าเชฟเก่งที่สร้างสรรค์ของที่ดูไปด้วยกันไม่ได้ให้ออกมาสมบูรณ์ครับ สุดท้าย ข้าวเหนียวมะ่มวงปิ้ง ซอสอกร่องมหาชนก ลืมข้าวเหนียวปิ้งร้านดังหลังที่ทำงานผมไปเลย ข้าวเหนียมนุ่มมากแต่ยังเป็นเม็ด ซอสมะม่วงนั้นหวานก็จริง แต่เป็นหวานหอมไม่ได้หวานแหลมทำให้ออกมาอร่อย จะบอกว่าเอาไปกินคู่กับเชอร์เบตมะยงชิตหรือไอศกรีมกระเทียมก็รอดทั้งสองแบบครับ
ปิดท้ายมีเพตติเฟอร์ในกล่องกระดาษดำมะเมื่อมมาอีก 4 ชิ้น อาลัวกุหลาบหอมอร่อย ช็อกโกแลตกระชายดำ เข้มข้นและรสชาติรอดอย่างไม่น่าเชื่อ ลูกชุบรูปมังคุดที่มีสารสกัดจากรางจืดดูรสชาติตกและธรรมดาสุดในสี่อย่าง สุดท้ายขนมตาลโตนด ชอบมากเพราะเนื้อสัมผัสเหมือนเค้กหนึบรสหวานอร่อย และยอมใจความครีเอทของเชฟครับ
Verdict หลายคนอาจรู้สึกว่าร้านนี้มีความเป็นเซเลบริตีเชฟสูง และกังวลเรื่องรสชาติ แต่ส่วนตัวผมชอบมากอยู่นะครับ ไปหลายครั้งจานที่สมหวังอยู่ในสัดส่วนสูงมาก มากกว่าจานที่ผิดหวัง หลาย ๆ จานเป็นรสที่บ้านผมกินจริง ๆ และคิดว่าความคุ้มอาจจะไม่มากเพราะเป็นสำรับหลายอย่างหลายคอร์ส ขนาดก็ออกจะจิ๋ว ๆ แต่ถ้าดูบรรจุภัณฑ์ ดูวัตถุดิบ และให้ราคาของสองดาวเสียหน่อย ผมว่าราคานี้ก็ถือว่าสักครั้งในมื้อพิเศษยังพอรับได้ ถ้าไม่ถูกจริตกับคอร์สยาว ๆ ก็มีเมนูอาลาคาร์ตที่เชฟมักจะเอามาทำขายในหน้าร้อนไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ
ข้อมูลจำเพาะ ร้านอาหาร (R.HAAN) สุขุมวิท 53 บริการอาหารสำหรับส่งถึงบ้าน แบบ a la carte เมนูฤดูร้อนประมาณ 10 อย่างตั้งแต่ 11.00 – 20.00 น. และบริการอาหารแบบคอร์สหรือสำรับตั้งแต่เวลา 18.00 – 20.00 น. ค่าส่ง 100 บาทสำหรับ 20 กิโลเมตรแรก กิโลเมตรถัดไป ราคากิโลเมตรละ 20 บาทครับ
2. Khao (ข้าว) one michelin starred restaurant
ร้านข้าวของเชฟวิชิต มุกุระ ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นตำนานอยู่ที่โอเรียนเต็ล ก่อนจะออกมาเปิดร้านของตนเอง และหลายคนอาจคุ้นหน้าท่านจากรายการยอดเชฟไทย ผมเองเคยแวะเวียนไปทั้งที่ร้านดั้งเดิมตรงเอกมัยซอย 10 และสาขาใหม่ตรงซอยต้นสนที่ไปเทคโอเวอร์พื้นที่เดิมของร้านอิตาเลียนระดับตำนานอย่างจิอานนี่ครับ
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ร้านของเชฟวิชิตที่ตอนนี้นอกจากสาขาแรกสุดคือเอกมัยซอย 10 ซึ่งมีทั้งแบบตามสั่งและแบบ Chef’s table สุดแพง เชฟก็ได้ขยายมายังสาขาสองตรงซอยต้นสนย่านเพลินจิตซึ่งสะดวกสำหรับผมมากขึ้น แต่ร้านที่ได้ดาวจริงคือที่เอกมัยนะครับ กินที่ร้านกับกินที่บ้านราคาจะเท่ากัน ต่างกันแค่ 2 บวก หรือบวกเดียว (ไม่มีค่าบริการ) ครับ เมนูก็มีให้เลือกมากมายเหมือนกัน แต่ที่ร้านจะมีความหลากหลายหว่า ผมเองเสียดายเป็ดซอสมะขามมาก ๆ ที่ไม่เห็นในเมนูแล้ว อย่างไรก็ดี เมนูอื่น ๆ ที่ผมชอบและอยากแนะนำ มีตั้งแต่ของว่างรวม เลือกได้ 4 อย่างในหมวดของว่างและยำ แนะนำทอดมันหินแกรนิตและเกี๊ยวปลา ส่วนกับข้าวอื่น ๆ ที่ชอบ คือ แกงเนื้อพริกขี้หนู และที่ตายไปเลยคือพริกขิงปลาดุกฟู มันกรอบอยู่ตัวและรสชาติกลมกล่อม ไม่หวาน เค็ม หรือเผ็ดเกินไป ร้านนี้ แนะนำให้เผื่อท้องสำหรับของหวานที่อลังการและอร่อย เช่น ขนมถ้วย เฉาก๊วย พลอยกรอบ ไว้เพิ่มเติมด้วยนะครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
วันนี้สั่งอาหารแบบที่เรียกว่าอาหารชุด ซึ่งจะมีหมุนเวียนไปทุกวัน ประกอบด้วยอาหารคาวสี่อย่างแบบสำรับ (จะคละวิธีการปรุง เช่นของทานเล่นหรือยำ เครื่องจิ้ม ผัด แกง ฯลฯ) ข้าวสวยและของหวาน ขนาด 2 - 4 คนอิ่ม แต่ผมว่ากินได้ถึง 6 คนถ้าหุงข้าวเพิ่มครับ ราคาแล้วแต่วัน ถ้ามีวัตถุดิบแพงหน่อยก็ 1,350 บาทถ้วน (เช่นกุ้งแม่น้ำ หรือแกะ) ถ้าไม่แพงมากแบบวันนี้ก็ 1,250 บาทถ้วน ถ้าอาหารชุดไม่ถูกใจก็สั่งแบบจากเมนูได้เช่นกันครับ
ผมผู้ซึ่งนิยมความคุ้มค่า เลยลองสั่งอาหารชุด แม้ว่าชุดวันนี้จะมีของที่ผมไม่สันทัดอยู่ด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร อาหารแพคมาดีพอควร แต่ที่ขำคือแกงที่ใส่ถุงแกง แล้วก็อัดลงกล่องพลาสติกอีกที สงสัยกลัวจะเหมือนข้าวแกงตลาดนัดเกินไปครับ ส่วนอาหารบางอย่างจะมีกระดาษกาวแปะ แล้วเขียนด้วยตัวอักษรตัวโต ๆ ว่าคืออะไร อย่างหลนแหนมนี่น่าจะฟอนต์ขนาด 70 ถือขึ้นรถไฟฟ้า หรือเดินร่อนไปมาแถวชิดลม เอกมัย รับรองว่ารู้ถึงไหนต่อไหนว่าค่ำนี้กินอะไร ๕๕๕ อ้อ ถุงกระดาษที่นี่ดันมีไซส์เดียว ซึ่งแต่ก่อนคงไว้ใส่ขนมมากกว่า มันจึงไม่เสถียร และผมทำก้นถุงขาดก่อนกลับบ้าน ยังดีที่ผมเตรียมถุงผ้ามาสำรองครับ
ข้าวสวยก่อน เมล็ดสวยน้อยไปหน่อย หากเทียบกันหมัดต่อหมัดแล้ว paste กับสยามวิสดอมดีกว่า แต่ของร้านข้าวก็ไม่ได้แย่แค่เมล็ดมันไม่เต็ม คงคดลงกล่องไม่ดีพอครับ ถ้วยแรกเริ่มจากแกงป่าไก่ รสชาติเป็นเชฟวิชิตและร้านข้าวมาก ๆ คือมันกลม จนไม่มีอะไรแหลมออกมา ถ้าคนชอบเผ็ดน่าจะถึงขั้นส่ายหัวครับ เค็มอ่อน ๆ หอมเครื่องแกงแบบชัดเจน แซมกลิ่นผักชีไร่ กะเพราและกระชายครับ มะเขือยังกรอบอยู่ ไม่นุ่มจนเละ วัตถุดิบดี แต่อย่างที่บอก รสไม่จัดครับ
จานสอง หลนแหนม แหนมอร่อยเลยล่ะ ให้มาเยอะมาก (ถ้วยที่เห็นในรูปเป็นเพียงหนึ่งในสามครับ คุณแม่ผมชอบแต่ท่านติงอีกแล้วว่าไม่เผ็ดเลย ท่านว่าหลนควรได้ความเผ็ดนิด ๆ นิดเดียวจากพริกชี้ฟ้าพริกขี้หนูบ้าง ก็เลยให้คุณแม่รับประทานพร้อมพริกในแหนมไป ก็พอจะช่วยได้บ้าง สำหรับผัก กราบทางร้านจริง ๆ มาเยอะมาก ๆ ทั้งลวกและต้ม ถั่วฝักยาว แตงกวา สายบัว มะระขี้นก กะหล่ำปลี ผักกาดแบบ lettuce มะเขือเปราะ ชอบครับ
ถ้วยสาม ไข่พะโล้สองสหาย หน้าตานี่ ร้านข้าวแกงแถวบ้านยังดูดีกว่าครับ ไข่เป็ดเยินมาก ๆ แต่เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง (ซึ่งผมดันลืมถ่ายรูป) เพราะข้างในเป็นไข่แดงเค็มที่สีสดสวยเอามาก ๆ อร่อย ไข่นกกระทาลูกเล็กแต่เนื้อแน่น เต้าหู้พวงไม่เละ ส่วนหมู ก็ดีครับ แต่มันมากไป มากไปแบบไม่เห็นเนื้อเลย เลยได้ทิ้งมากกว่ากิน สุดท้ายน้ำพะโล้ เป็นสไตล์เชฟวิชิตจริง ๆ คือไร้ผงพะโล้ หอมแค่อบเชยอ่อน ๆ ซีอิ๊วดำ น้องสาวผมชอบแบบนี้มาก แต่ผมมีข้อติดนิดเดียวคือคิดว่ามันหวานไปเสียหน่อยครับ
จานสุดท้าย ยำไข่ปลาไข่ปู สุด ๆ แห่งนิพพาน น่าจะเป็นไข่ปลาอินทรีย์กับไข่ปู ไข่ปลาเอาไป shallow fry ด้วยน้ำมันน้อยที่สุด ส่วนไข่ปูเอาไปนึ่ง มันแบบทั้งมันทั้งริช กินเปล่า ๆ คงเลี่ยนตายไปข้าง แต่มะม่วงเปรี้ยวในยำคือตัดทุกอย่างให้สมดุลและอร่อย ชอบการคลุกที่เบามือมะม่วงจึงกรอบ ส่วนไข่ก็ไม่เละ เครื่องเคียงหรือผักที่ให้กินด้วยนี่ผมไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง แต่ดูเร็ว ๆ น่าจะมีผักแพวและผักชีลาว ซึ่งแม่ผมยึดไปจัดการทั้งหมด ถ้าจะแอบติ ก็คงเป็นปัญหาเดิม ๆ คือรสมันกลมอร่อย เปรี้ยวดีแต่อ่อนเผ็ดอีกแล้ว ผมผู้ซึ่งนิยมรสจัดหน่อย เลยแอบเสียใจเล็ก ๆ ครับ
ปิดท้ายด้วยสังขยา กลับบ้านจึงได้ทราบว่าเป็นฟักทองสังขยา ตอนแรกคิดว่าจะได้สังขยาน้ำตาลไหม้ การนำเสนอแอบเยินอีกรอบ เพราะตอนผมยกออกจากกล่อง สังขยาหลุดจากฟักทอง แต่สังขยาอร่อย หวานกำลังดี เนื้อละเอียดมาก ไร้ฟองอากาศ ข้างฟักทองนั้นก็ทั้งแน่นและเหนียวนึ่งมากำลังดี ไม่เละ ส่วนฝอยทองนั้น ผมว่าตามมาตรฐานไม่ได้ว้าวอะไร เพราะฟักทองสังขยาเอาใจไปหมดแล้วครับ
Verdict คุ้มราคา เหมาะกับการเอามานั่งกินแบบชิลล์ ๆ กันเอง ๆ มากกว่ารับแขก เพราะไม่ได้ซับซ้อนหรือตกแต่งเวอร์แบบร้านอื่น ๆ ครับ ส่วนรสชาติ ถ้าคนที่ชอบรสกลาง ๆ กลม ๆ น่าจะถูกจริต แต่ถ้าชอบจัดจ้านแบบหนักเครื่องสุดขีด อาจจะตอบโจทย์ได้แค่บางส่วน สุดท้าย ผมคิดว่าเมนูเป็นชุดแบบนี้ ต้องกะการสั่งและวันที่สั่งให้ดี เพราะบางเมนูของบางวันก็อาจจะธรรมดาไป และถ้าไม่มีปัญหาด้านงบประมาณ แนะนำสั่งแบบอาลาคาร์ต แล้วจิ้มเลย ประเภท พริกขิงปลาดุกฟู ทอดมันหินแกรนิต ลาบเป็ดตับห่าน มัสมั่นน่องแกะ ไก่บ้านต้มหอมแดงกับข่า รับรองฟินกว่ามากครับ
ข้อมูลจำเพาะ
ร้านข้าว (Khao) บริการอาหารแบบส่งถึงบ้านทั้งจากสาขาเอกมัยหรือซออยต้นสน ให้บริการเมนูแบบตามสั่ง หรืออาหารชุดประจำวัน ประกอบด้วยกับข้าว 4 อย่าง ของหวาน และข้าวสวย ในราคา 1,250 หรือ 1,350 บาทสุทธิ ค่าส่งตามจริงตามระยะทาง และส่งฟรีในพื้นที่เอกมัย ทองหล่อ หลังสวน วิทยุ ต้นสน ชิดลม สามารถสั่งซื้อทางโทรศัพท์ หรือทางไลน์ @khao หรือผ่านบริการของ Grab ได้ครับ
3. Upstairs at Mikkeller (one michelin starred restaurant)
อีกหนึ่งร้านมิชลินที่ให้บริการส่งถึงบ้านหรือนำกลับบ้านในช่วงนี้ ร้านดังแห่งนี้เป็นของเชฟแดน บาร์ก ผมไป Upstairs at Mikkeller ครั้งแรกและครั้งเดียวตั้งแต่ยังไม่ได้ดาวมิชลิน แล้วก็ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนไปอีกเลย จริง ๆ มีแผนจะไปในช่วงนี้ แต่พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็พับแผนเก็บ แล้วรอลุ้นว่าเชฟ Dan Bark จะมีบริการสั่งกลับบ้านไหม จริง ๆ ก็มีแล้วแต่เป็นในส่วนของ downstairs ที่เป็นอาหารตะวันตกง่าย ๆ รับประทานแกล้มเบียร์ที่เป็นจุดขายของที่นี่ จนกระทั่งต้นเดือนนี้ร้านชั้นบนก็คลอดเมนูแบบ Upstairs จริงจัง ในราคา 990+ สำหรับ 4 คอร์ส ผมเลยตัดสินใจได้ไม่ยากครับ
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ผมอาจจะไม่มีความเห็นมาก เพราะการไปนั่งรับประทานครั้งสุดท้ายที่ร้านนี้คือตั้งแต่ก่อนได้รับดาวมิชลินในปี 2560 เสียอีกครับ พออยากจะกลับไปอีกครั้ง ก็ยุ่งบ้าง ไม่ว่างบ้าง ติดเหตุผลต่าง ๆ นานา เลยยังไม่มีโอกาสลองฝีมือของเชฟแดน บาร์ก ในวันที่ได้รับมิชลินแล้ว พร้อมกับอาหาร 10 คอร์ส ในราคา 3,800 ++ ครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
ความยากของที่ร้าน Upstairs ไปอยู่ที่การสั่งอาหาร ผมพยายามไลน์ไปที่ร้าน แต่ไร้การตอบรับ จนจะเปลี่ยนใจไปสั่งมิชลินอีกร้านที่อยู่ซอยเดียวกัน แต่คิดอีกทีลองโทรไปดีกว่า รอสายจนเกือบจะถอดใจปรากฏว่ามีคนรับ เลยสามารถสั่งของได้เรียบร้อย ใช้เวลาจากสั่งถึงส่งและรับของไม่เกิน 25 นาที ที่โหดอีกอย่างคือค่าส่งจากเอกมัยซอยสิบ ออกมาปากซอยเอกมัยจ่ายไปอีก 40 บาท เบ็ดเสร็จวันนี้จ่ายไป 1,100 บาทถ้วนครับ
อาหารแพคมาอย่างดี แต่ละคอร์สมีกระดาษคาดที่สั่งทำเป็นการเฉพาะเพื่อบอกชื่อเมนูและวัตถุดิบ ปริมาณแต่ละคอร์สไม่ใหญ่มาก เป็นขนาดหนึ่งคนอิ่มแบบตึง ๆ เริ่มจากคอร์สที่หนึ่งเป็นขนมปังบริยอชก้อนจิ๋ว ใช่ครับอ่านไม่ผิด ขนมปังนี่แหละ แต่อร่อยมาก หอบกลับมาบ้านที่ห่างออกไปอีก 14 สถานีรถไฟฟ้า ก็ยังคงนุ่มอยู่ ส่วนเครื่องที่ให้รับประทานคู่กันคือเนย แยมน้ำมันมะกอก และเกลือฮาวายนั้น ออกมาไม่เหมือนในรูป เพราะคงทนอุณหภูมิเกือบ 40 องศาเซลเซียสไม่ได้เลยละลายรวมกันหมด แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อความอร่อย ผมเอาไปแช่ชองแข็งเร็ว ๆ ให้ออกมาเป็น curd แล้วกินกับขนมปัง จะบอกว่ามันแบบ mouthwatering มาก ทั้งหอม ทั้งหวาน และมันชุ่มฉ่ำ เจือเค็มอีกเล็กน้อย กินแล้วหยุดไม่ได้ เสียดายปริมาณแอบน้อยไปนิดครับ
คอร์สที่สอง สลัด แพคมาอย่างดีจนจัดลงจานไม่ได้ เพราะจะเสียรูปทรง ต้องบังคับให้ตนเองรับประทานในถ้วยพลาสติกมีฝาปิดของทางร้านแทนครับ เป็นสลัดรวมรากหรือพืชมีหัว ทั้งแครอท บีทรูท และเฟนเนล เห็ดชิเมจิ อร่อยตามสภาพ ไม่หวือหวาอะไร เช่นเดียวกับพุดดิ้งเผือกที่เนื้อสัมผัสใช้ได้ แต่ที่ทำเอาผมประทับใจจริง ๆ คือน้ำสลัด เป็นทรัฟเฟิลวินิแกรตคือดีมาก หอมอบอวลมาก กินสลัดแล้วน้ำสลัดรสไม่หวานหรือเปรี้ยวโดด แต่หอมนวลขึ้นจมูกแทน แม้จะเป็นถ้วยที่ธรรมดา ๆ แต่ก็ประทับใจอยู่ จริง ๆ เสนอว่าควรมีเนื้อสัตว์มาแซม ๆ บ้าง เพราะราคาสี่คอร์สนี้ก็สูงอยู่ครับ
คอร์สที่สาม Coq au vin หรือไก่ตุ๋นไวน์ของแท้ต้องเป็น vin rouge หรือไวน์แดง เริ่มจากไก่ก่อน อร่อยไหม อร่อย แต่คิดว่ายังตุ๋นไม่ได้ถึงขั้นเข้าเนื้อ อาจจะยังไม่นุ่มพอ แต่ผมชอบนะ เพราะเคยทานบางทีที่ตุ๋นจนเปื่อยเละหรือฉุนไวน์เกินไปก็ไม่ใช่ทางอีก แบบนี้คือนุ่มแต่ยังแอบสู้ฟัน เวลากินอาจต้องกินกับซอสที่ราดมาเยอะหน่อย เพราะเวลาตุ๋นยังไม่มากซอสก็เลยยังไม่เข้าเนื้อทุกส่วน ที่ดีคือสลัดที่ให้กินด้วยกัน เช่นเดียวกับ 50/50 mashed potato ที่เนื้อเนียนละเอียดอร่อย คะแนนคือเต็มสิบให้ได้เกินร้อย แครอทที่สุกพอดีกัดแล้วยังกรอบหนึบไม่นุ่มจนร่วนเละ เช่นเดียวกันกับหอมครับ ชอบไหม ก็ชอบ เกินมาตรฐานเลยล่ะ แต่คิดและแอบคาดหวังว่าเชฟจะทำให้ว้าวกว่านี้เหมือนเมนู 10 คอร์สปกติครับ
คอร์สุดท้าย ชีสเค้กแบบญี่ปุ่น มาในถ้วยอีกแล้ว จึงไม่สามารถจัดลงจานได้ครับ ชีสเค้กเนื้อเนียนละเอียดไม่หวานมาก เนียนละเอียดพอ ๆ กับวิปครีมด้านบน ที่ตายไปเลยคือพิวเร่มะนาวข้างบนสุดกับมะม่วงหิมพานต์คาราเมลไลซ์ มันตัดกันลงตัวพอดี ทำให้ได้อารมณ์หวานซ่อนเปรี้ยว ไปสมดุลกับความหนักและมันนิด ๆ ของชีสเค้ก และเนื้อสัมผัสกรอบ ๆ ร่วน ๆ ของบิสกิตช็อกโกแลตด้านล่าง ทำเอาผมที่เกลียดชีสเค้กที่สุดยังจ้วงตักถ้วยนี้ได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุดครับ
Verdict อย่างแรกคือราคาสูงครับ ยอมรับเลย แต่รสชาติผมว่าโอเคมาก ๆ มีแต่อร่อยกับอร่อยมากในทุกคอร์ส ถ้าเป็นไปได้อยากให้เพิ่มปริมาณกับวัตถุดิบให้หนักกว่านี้อีกหน่อย บริการตอนสั่งอาจจะแอบยากอยู่บ้างแต่ถ้าโทรติดหรือแชทได้ก็มีประสิทธิภาพและสุภาพดี แพคเกจจิ้งผ่านอยู่ทั้งหมด ดูประณีตและตั้งใจ ยกเว้นไก่ตุ๋นที่ถ้าถือไม่ดีแบบผมกล่องจะเปรอะแน่ ๆ สุดท้ายแนะนำจากใจว่า ถ้ามีโอกาสก็น่าและต้องลองสักครั้ง (หรือหลายครั้งถ้ามีเมนูใหม่ ๆ มาสลับ) เพราะนี่คือมิชลินหนึ่งดาวขายอาหารตะวันตกเพียงร้านเดียวที่มีบริการในช่วงนี้ครับ
ข้อมูลจำเพาะ
Upstairs Mikkeller Bangkok ให้บริการอาหารแบบส่งถึงบ้าน โดยคิดค่าส่งตามระยะทาง หากเป็นอาหารชุดจากครัว Upstairs ราคา 1 ชุด 4 คอร์ส 990+ นอกจากนี้ยังให้บริการในส่วนเมนูจาก Mikkeller ซึ่งรังสรรค์โดยเชฟ Dan Bark เช่นกันในรูปแบบ อาลาคาร์ต และมีสินค้าเพิ่มเติมคือแยมแบบต่าง ๆ ในราคาคั้งแต่ 240 + ครับ สามารถสั่งอาหารได้ทางโทรศัพท์หรือที่ไลน์ของร้าน @chefdanbark ครับ
4. Paste (one michelin starred restaurant)
น่าจะเป็นร้านมิชลินลำดับท้าย ๆ ที่ปรับตัวมาให้บริการแบบนำกลับบ้านและส่งถึงบ้านเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเคยไป Paste หลายรอบแล้ว เมนูกลับบ้านราคาจะถูกกว่ารับประทานที่ร้านตามเมนูปกติอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถูกนัก และเลือกบางเมนูมาขายสิริรวมราว 15 อย่าง แล้วก็จะมีอาหารชุดแบบสำรับอีกสามสำรับที่ราคาจะถูกกว่าสั่งแยก หลังจากประเมินทุกอย่างแล้ว ผมตัดสินใจสั่งชุดที่คุ้มที่สุดคือชุด 2 จากราคาเต็ม 1,600+ จะเหลือ 1,200+ ครับ
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ปกติร้าน Paste จะมีบริการทั้งแบบสั่งจากเมนูหรือแบบอาหารชุด ผมเคยมีโอกาสแวะเวียไปหลายหนในช่วงเที่ยง ตั้งแต่ราคาไม่ถึงพันในช่วงก่อนได้ดาวมิชลิน หลังได้ดาวแล้ว จำได้ว่าราคากระโดดเป็น 1,800 ++ ในมื้อเที่ยง ปัจจุบันเพิ่มเป็น 2,400++ แล้ว แม้ในช่วงแรกของโควิด ร้านจะพยายามออกโปรโมชั่น 4 จ่าย 3 มาสู้ก็ตามครับ ปกติสำรับเที่ยง จะได้อะมุซบุช อาหารเรียกน้ำย่อย 3 อย่าง อาหารที่เป็นกับข้าว 4 อย่าง ถ้ามา 3 ท่านจะได้เพิ่มเป็น 5 อย่าง แล้วก็มีของหวานปิดท้ายครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
พนักงานยังคงบริการได้แบบน่ารักแต่จะไม่เป๊ะ เพราะความขำแรกคือสั่งอาหารทุกอย่างเสร็จ พนักงานไม่ถามชื่อหรือหมายเลขโทรศัพท์ เลยต้องบอกให้จด ตอนแรกว่าจะไปรับสักห้าโมงเย็น แต่สำนักงานไฟดับเลยได้เลื่อนเวลากลับเร็วขึ้นไปรับตอนสี่โมงเย็นแทนครับ เกษรวิลเลจมืดจนน่าตกใจ เมื่อไปถึงร้านพนักงานกำลังเตรียมอาหารให้อยู่ รอสักครู่ก็เรียบร้อย มาสามถุงกระดาษใหญ่ ที่ถือทุลักทุเลมาก พนักงานอาสาจะมาส่งให้ตรงทางเชื่อมรถไฟฟ้า แต่ก็ได้ปฏิเสธไปและผมได้ถ่ายของทุกอย่างลงถุงผ้าขนาดใหญ่เพื่อให้ถือง่ายขึ้นแทนครับ
จานแรกเป็นของธรรมดาที่สุดคือข้าวสวย ราคาแยกจะ 50+ ต้องพูดถึงเพราะข้าวร้านนี้อร่อยมาก เป็นข้าวหอมมะลิจากเชียงราย เมล็ดสวย ไม่ได้ยางเยอะแบบข้าวหอมมะลิที่อื่นจนเหนียว แล้วก็ไม่ได้แข็งเกินไป มีกลิ่นหอมอ่อนแบบ fragrant rice โดยแท้จริงครับ ปริมาณในรูปที่ถ่ายมาคือแค่ครึ่งเดียวนะครับ
จานที่สอง เป็นต้มยำเม็ดขนุนและขาหมูโบราณ ราคาปกติ 350+ เคยอยู่ในอาหารชุดเที่ยงเมื่อสองปีก่อน จะแยกเครื่องไว้หนึ่งถ้วย แยกน้ำต้มยำที่ใส่เม็ดขนุนไว้อีกถ้วย และแยกหอมเจียวไว้อีกถ้วย ร้านใส่ใจถึงขนาดมี instruction วิธีกินและวิธีแต่งจานของทุกเมนูที่สั่งครับ ขาหมูที่นี่เหมือนหมูกรอบอร่อยมาก กรอบข้างนอกแบบกัดมีเสียง ข้างในนุ่ม มาสี่ชิ้นใหญ่ เช่นเดียวกับมะเขือเทศเชอร์รี่ที่มาสี่ผล หอมแดงก็สี่ผล (แนะนำสำหรับครอบครัว 2 หรือ 4 คนไม่อย่างนั้นอาจเลือดตกยางออกขณะแบ่ง) น้ำต้มยำอร่อยเหมือนเคย เผ็ดเปรี้ยวครบ แต่จะมีเค็มที่นำมานิดหน่อย ถ้าคนไม่คุ้นจะไม่ชอบ (ผมชอบเพราะชอบเบสแบบต้มโคล้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) เม็ดขนุนต้มแล้วฝานมากินง่าย อันนี้มีมากเกิน ไม่ต้องแย่งกัน ปริมาณที่เห็นนี้ ใส่น้ำแกงไปแค่ครึ่งเดียวนะครับ เพราะอยากถ่ายรูปครับ
จานที่สาม เป็นแกงครับ แกงปูปักษ์ใต้รมควันใส่ดอกแคและใบชะคราม ปัจจุบันอยู่ในอาหารชุดมื้อเที่ยง หากสั่งแยก ราคาปกติคือ 600+ ถ้วยนี้แยกแกง กับถ้วยเล็กบรรจุเครื่องที่เป็นผักสดและดอกไม้ตกแต่งออกมาครับ ปูท่วม แต่ปูจะไม่ได้ชิ้นตู้มแบบเจ๊ไฝ เป็นชิ้นกลาง ๆ และก็ไม่ใช่วิญญาณปูครับ น้ำแกงอร่อยดี จะไม่เผ็ดร้อนมาก ออกจะเจือหวานหน่อย เพราะการรมควันที่ใช้เป็นการรมควันเทียน ถ้าหลับตากินแค่เคี้ยวและได้กลิ่น อาจจะนึกถึงของหวานแทน อร่อยแต่คิดว่าจัดจ้านกว่านี้ได้อีกครับ อ้อ ถ้วยที่เห็นแบ่งมา 3/4 เพื่อถ่ายรูป ของจริงมากกว่านี้ครับ
จานที่สี่ เป็นจานใหม่ที่ผมเพิ่งลองเป็นครั้งแรก คือเป็ดมะแขว่นเสิร์ฟกับซอสส้มจี๊ดและโป๊ยกั๊ก หากสั่งแบบปกติจะราคา 600+ ครับ เป็ดแยกมาในกล่องกระดาษขนาดกลาง ๆ เป็ดที่เสิร์ฟขนาดครึ่งตัวครับ rubbed หรือคลุกผิวด้านนอกด้วยมะแขว่นทำให้หอมอร่อย เป็ดเนื้อแน่นมันน้อย หนังกรอบด้วย แต่ข้างในยังชุ่มฉ่ำ ย่างมาแบบสุกแต่ไม่ถึงกับแห้ง มีเห็ดหอมกับส้มจี๊ดแซมมา ส่วนน้ำราดส้มจี๊ดโป๊ยกั๊กแยกมาอีกถ้วยใหญ่ขนาดเดียวกับแกงปูก่อนหน้า ซอสอร่อยไหม อร่อยครับ เปรี้ยวจี๊ดดีแถมตัดเปรี้ยวด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเทศอย่างโป๊ยกั๊ก แต่ช้าก่อน ผมค้นพบว่า ไม่จำเป็นต้องราดซอสหมด ผมราดพอเคลือบผิวนอก เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของรสสัมผัส ส่วนชั้นเนื้อเป็ดผมว่ากินเปล่า ๆ รสธรรมชาติก็อร่อยมาก ๆ อยู่แล้วครับ
Verdict ดีตามสภาพ อร่อย และแพคเกจใส่ใจในทุกรายละเอียด ราคาอาจจะสูงไปนิด แต่ถ้าเข้าใจว่าที่นี่มื้อเที่ยงต่อคนคือ 2,400 ++ อยู่แล้ว ซื้อกลับบ้านราคานี้ก็ต้องถือว่าสุดจะ bargaining price หากให้ส่งค่าส่งก็ไม่แพง เขตปทุมวัน 50 บาท ที่เหลือจากนั้นน่าจะ 100 บาทครับ วันนี้พนักงานบริการดีมาก ผิดจากตอนที่มานั่งกินที่ร้าน และที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ แต่ประทับใจมากคือร้านมีของอภินันทนาการเป็นบัตรกำนัลของกาแฟร้านดัง ที่ผมชอบเรียกว่าร้านเงินดาว(น์) 555 อีก 200 บาทแต่ใช้ได้เฉพาะในสาขาเกษรวิลเลจเท่านั้นครับ (ไม่แน่ใจว่าจะแจกถึงเมื่อไร) ถามว่าแนะนำไหม ถ้ามีงบประมาณเยอะหน่อย ผมค่อนข้างแนะนำมาก ๆ เลยล่ะครับ
ข้อมูลจำเพาะ ร้านอาหาร Paste ให้บริการอาหารแบบส่งถึงบ้านในรูปแบบอาหารตามสั่งจากเมนู และอาหารชุด (ซึ่งมีให้เลือกจำนวน 3 ชุด) ให้บริการเวลา 11.00 – 21.00 น. โดยสามารถสั่งได้ทางโทรศัพท์หรือช่องทาง Line @pastebangkok หรือจะเข้าไปในส่วนของ Line Shop ก็ได้ครับ
5. Le Du (one michelin starred restaurant)
ร้านหนึ่งดาวมิชลินที่ผมไม่ได้ไปนานมากพอสมควร อย่างน้อยก็เกินปีครับ ดดยเคยไปร้านนี้ตั้งแต่เปิดใหม่ ๆ นานขนาดไหน ก็ตั้งแต่ยุคก่อนรัฐประหารปี 2557 สมัยที่ร้านยังไม่ได้ขายอาหารเป็นคอร์ส และยังให้บริการในมื้อเที่ยงด้วยซ้ำไปครับ และแม้ว่าช่วงที่ได้ดาวแล้วจะมีโอกาสกลับไปถึงสองรอบ แต่ก็เป็นมื้อที่ค่อนข้างทางการ เลยไม่ค่อยได้มีเวลาละเลียดอะไรมากนักนอกจากจมจ่อมอยู่กับบทสนทนาหนัก ๆ แทนครับ
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ปัจจุบันก่องโควิด ร้าน Le Du จะให้บริการเฉพาะอาหารค่ำในรูปแบบของสี่คอร์สและหกคอร์ส หากเป็นสี่คอร์ส ราคาจะผันแปรตามวัตถุดิบของคอร์สที่เลือก แต่ถ้าเลือกแบบหกคอร์สก็จะกำหนดอาหารในแต่ละคอร์สมาเรียบร้อย (คอร์สแรกได้สองจาน เช่นเดียวกับคอร์สสอง และเลือกจานหลักอะไรก็ได้ ปิดท้ายที่ของหวานอีกหนึ่งอย่างครับ) และคิดราคาเดียวคือ 3,590 ++ ครับ ความน่าสนใจอีกประการของร้านนี้ คือ เชฟใหญ่ของร้านและเจ้าของคือคุณต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร รุ่นน้องที่คณะผมเพียงหนึ่งรุ่น แต่ผมไม่น่าจะเคยคุยด้วยที่คณะ มาทราบอีกทีก็ตอนที่คุณต้นไปฝึกปรือฝีมือจากร้านอาหารดัง ๆ และกลับมาเปิดร้านฤดูแล้ว และก็ไปปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ ถึงแม้ไม่รู้จักเชฟต้น แต่เวลาผมไปบรรยายในงาน และต้องยกตัวอย่างเกี่ยวกับสายอาชีพที่บัณฑิตจบจากคณะผมจะสามารถไปต่อได้ เชฟต้นคือ classic case ที่ผมต้องพูดถึงเสมอครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
กลับมาที่อาหารดีกว่า ตอนแรกสุดหากไม่ปิดเมือง Le Du เป็นหนึ่งร้านในตัวเลือกมื้อค่ำวันเกิด แต่พอทุกอย่างปิด แผนพังทลาย แต่เชฟต้นและร้านฤดูยังคงเปิดร้านและให้บริการแบบกลับบ้าน เที่ยงนี้ผมตัดสินใจแบบปุบปับ ไลน์ไปสั่งเมนู signature คือข้าวคลุกกะปิและกุ้งแม่น้ำตาปีจากสุราษฎร์ธานี ราคา 900 บาทถ้วน (ไม่มีบวก)
แพคเกจเป็นถุงกระดาษประทับตราร้าน มีกล่องใส่ข้าว ใส่ผัก ใส่ไข่ แยกกันมา กุ้งห่อมาในฟอยล์ ส่วนซอสต้มยำและหมูหวานอยู่ในถ้วยพลาสติก และที่ขาดไม่ได้คือกระดาษแผ่นเล็กบอกวิธีเตรียมเขียนด้วยลายมือพร้อมลายมือชื่อเชฟต้นกำกับไว้ ผมไม่มีเวลาจัดจานสวยนะครับ เพราะกลับมาบ้าน ลงจานแล้วก็รับเป็นมื้อค่ำเลย ตัวข้าวคลุกกะปิใช้ข้าวจากภาคเหนือหุงแบบเดียวกับริซอตโต ซื้อกลับบ้านควรอุ่นก่อน 15 วินาที ข้าวอร่อยครับหอมกะปิชัด แต่ถ้าจะวิจารณ์ผมอยากให้หนึบกว่านี้อีกหน่อย ข้าววันนี้ออกจะนุ่มและอุ้มน้ำไป แต่การปรุงออกมาถือว่ารสชาติดีเลย หมูหวานที่ใช้หมูสามชั้นแบบตีความใหม่ ไม่ได้เป็นชิ้นแต่จะเป็นแบบกึ่งบด เวลากินจะ smooth ไปกับข้าวที่ออกเค็มตัดกับความหวานของหมูพอดีครับ
เครื่องที่กินด้วยแยกมาอีกห่อ มีทั้งมะม่วงหั่นเต๋า หอมแดง พริก และถั่วฝักยาว พร้อมกับมะนาวครึ่งลูก ตัดรสหนัก ๆ ของข้าวได้เป็นอย่างดี แต่ที่ผมว่าอร่อยที่สุดจริง ๆ คือฝั่งของกุ้ง สดมาก ระดับการย่างคือพอดี (คุณแม่ผมออกปากชมได้ แสดงว่าต้องดีจริง ๆ ปกติท่านวิจารณ์ทุกร้าน) มันกุ้งอร่อย หนึบ และริช ส่วนไข่เป็ดกรอบฝอยคือสิ่งที่เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเป็น texture ที่เชื่อมความนุ่ม ๆ ของทุกอย่างไว้ด้วยกัน สุดท้าย ซอสต้มยำมันกุ้ง หอมอร่อย แม้ผมจะมีความเห็นส่วนตัวว่าเปรี้ยวกว่าระดับที่ผมชอบไปนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ ครับ และที่ไม่เห็นเอามาราดบนตัวกุ้ง เพราะจะเก็บครึ่งหนึ่งไว้กินกับข้าวสวยครับ ทุกอย่างเป็นไปแบบที่ผมชอบนิยามร้านนี้ว่า อาหารรสค่อนข้างไทยมาก ๆ แต่ตีความวิธีการนำเสนอใหม่ทั้งหมดด้วยวัตถุดิบที่พรีเมียมขึ้นครับ
Verdict จาก 6 คอร์ส ราคา 3,590++ ลงมาเหลือจานเดียวจานเอกในราคา 900 บาทถ้วน ด้วยปริมาณที่เพิ่มเป็นเท่าตัว คิดว่าคุ้มค่าสำหรับการสั่งอยู่ครับ และคู่ควรกับหนึ่งดาวมิชลิน และ top ten ของ Asia's 50 Best Restaurants ปีล่าสุดอย่างแน่นอนครับ
ข้อมูลจำเพาะ ร้านอาหาร Le Du ให้บริการแบบนำกลับบ้าน โดยจะมีเมนูหลักเป็นข้าวคลุกกะปิกุ้งแม่น้ำ และจะเมนูอื่น ๆ ให้เลือกเพิ่มประมาณ 1 – 2 เมนูสลับกัน เช่น ข้าวหน้าต้มข่าไก่ ข้าวอบหอยนางรม หรือข้าวหมกคอหมูอย่าง ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการวัตถุดิบของเชฟครับ สามารถโทรหรือไลน์ไปสั่งอาหารได้ @ledubkk สั่งอาหารได้ตั้งแต่ 10.00 – 18.30 น. และรับสินค้าหรือส่งสินค้าในช่วง 16.00 – 19.00 น. ครับ
6. 80/20 (one michelin starred restaurant)
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ผมรู้จักร้านนี้มานานพอสมควรเพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้าน เคยมามื้อค่ำ มามื้อสายวันสุดสัปดาห์ และในปีแรกที่มีการแจกดาวมิชลิน 80/20 ก็เป็นร้านที่ผมเก็งว่าน่าจะได้รับการคัดเลือก แต่แล้วมิชลินก็จัดให้อยู่ในหมวดหมู่ Plate แทน พอมาถึงการแจกดาวปีที่ผ่านมา หนนี้ชื่อของร้านหายไปจากเล่ม ส่วนหนึ่งเพราะมีการปรับปรุงร้านและโฮสเทลข้าง ๆ ที่ดูผิดฝาผิดตัวก็ได้ปิดทำการลง จนกระทั่งต้นปี ร้านกลับมาในรูปแบบใหม่ เลิกขายตามสั่ง แต่ขายเป็นคอร์สยาว ๆ อย่างเดียว เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เชิงบวกจากหลายสำนัก
ตอนที่ผมไปเป็นช่วง 3 วันก่อนประกาศผลมิชลินปี 2020 (ซึ่งผมคิดว่าร้านได้แน่ ๆ เพราะยังอวยชัยให้พรพนักงานก่อนกลับ 555) ร้านให้บริการเมนูตามฤดูกาล ตอนนั้นเป็นเมนูมรสุม (monsoon) ถ้าฟังแล้วไม่รื่นหูเปลี่ยนเป็นเมนูวสันตฤดูก็ได้ครับ จำนวน 16 คอร์ส ราคา 3,000 ++ ปัจจุบันปรับมาเป็น 11 คอร์ส 3,500 ++ เรียบร้อย เมนูที่ร้านนี้ ว้าวทุกจาน และอร่อยมาก ๆ เป็นส่วนใหญ่ คอร์สที่เป็นยำผลไม้กับกรานิตาเนื้อปูคือดีมาก เนื้อย่างธรรมดา ๆ ก็ดี ข้าวอบผงกูรหม่ากับเป็ดดรายเอจก็เทพ หรือของหวาน ณ เวลานั้น อย่าง ส้มตำ ก็ยังสร้างความตื่นตาตื่นใจได้แบบครบรสทั้งที่หน้าตาไม่ใช่ส้มตำเลยครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
กลับมาที่รีวิวครับ วันนี้ขอมารีวิวของหวานของร้านหนึ่งดาวมิชลินที่ผันตัวจากการขายอาหารค่ำ 11 คอร์สมาขายอาหารแบบขอข้ามมารีวิวของหวานก่อน หนนี้สั่งแบบรวมที่เรียกว่า sweet box โดยจะได้ของหวานขนาดครึ่งพอร์ชั่นจำนวน 3 อย่างและเลือกโดนัทได้อีกหนึ่งรสครับ ราคาคือ 400+ สามารถสั่งมาส่งที่บ้านได้หรือจะไปรับที่ร้านแบบผมและทางร้านจะบรรจงใส่มาในบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกจำนวน 2 กล่องครับ
กล่องแรกเป็นชีสเค้กมะม่วงกับครัมเบิ้ลมะพร้าว คำแรกที่กัดคือรสไม่จัด ไม่หวานไป ไม่เลี่ยนจากชีสเกินไป และก็ไม่ได้เปรี้ยวโดดจากมะม่วง ทุกอย่างมันกลมกล่องลงตัว และทำให้คนที่ไม่ชอบชีสเค้กอย่าผมเปลี่ยนใจได้ ขณะที่อีกชิ้นเป็นทาร์ตช็อกโกแลตและสตรอว์เบอร์รี่จากเชียงใหม่ เนื้อสัมผัสนุ่ม ๆ ความขมของช็อกโกแลตและความเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รี่ตัดกับความหวานอ่อน ๆ และความกรอบของแป้งทาร์ตนับเป็นความซับซ้อนด้านรสชาติที่น่าทึ่งครับ
อีกสองอย่างที่เหลือ โรตีกล้วยหอมราดนมข้น ไมโล และมะพร้าวคั่ว โรตีทำออกมาได้ดี กล้วยตามสภาพ มะพร้าวคั่วนับว่าสร้างสรรค์แต่ที่อร่อยจริง ๆ คือซอสไมโล และ dulce de leche ไมโลไม่หวานมาก ส่วนคาราเมลนมนี่คือริชสุด ๆ พอรับประทานพร้อม ๆ กับโรตี กล้วยและมะพร้าวนี่คือหยุดไม่ได้ สุดท้ายโดนัท ผมเลือกแบบปลอดภัยโดยข้ามรสมะยงชิดกับรสไข่เค็มไป และเลือกอะไรที่มันออร์ธอดอกซ์อย่างรสน้ำตาลมะพร้าวหมูหยอง ที่บ้านดูชอบมาก ส่วนผมว่ามันหวานไปนิด แต่ที่ดีคือแป้งโดนัทที่มันจะมีความหนึบเล็ก ๆ อยู่ครับ (ตอนนี้ทั้งสองอย่างนี้ เชฟซากิถอดออกจากเมนูเรียบร้อย และมีของหวานใหม่ ๆ อื่น ๆ มาให้ลองแทนครับ
สุดท้าย ขออนุญาตรีวิวสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจรีวิว แล้วก็เผลอไผลไม่ตั้งใจถ่ายรูป เป็นอาหารคาวของที่ร้านครับ คือ ไก่ย่างซอสแกงคั่ว มาพร้อมกับข้าวสวย ยำหัวปลี และซุป ในราคา 300+ สั้น ๆ ไก่นุ่มดีเพราะเป็นส่วนอกแบบไร้กระดูก (แต่ผมว่ามัน bland ไปหน่อย) ซอสแกงคั่วก็รสชาติเข้มข้น แต่ไม่มีปัจจัยใด ๆ ให้ว้าวเหมือนตอนรับประทานอาหารอื่น ๆ 16 คอร์สที่ร้าน น้ำซุปคล้ายมะนวาดองแอบเปรี้ยวมากไปหน่อย ยำหัวปลีรสชาติดี ส่วนข้าวก็ตามสภาพ และคิดว่าแอบราคาสูงไปนิดครับ สั่งอย่างอื่น ๆ อาจจะคุ้มกว่า
Verdict สมศักดิ์ศรีเชฟณพลและเชฟซากิ กับ 1 ดาวมิชลิน หรือร้านอาหารที่ดีที่สุดลำดับที่ 47 ของเอเชีย หรือ 1 ใน 5 ของร้านที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ ของ top tables ปีล่าสุด หรือแม้แต่หนึ่งเดียวจากไทยที่ปรากฏใน TIME's 2019 list of the World's 100 Greatest Places ทุกประการครับ
ข้อมูลจำเพาะ
80/20 ให้บริการแบบนำกลับบ้านหรือส่งถึงบ้านทุกวันยกเว้นวันจันทร์ โดยมีช่วงเวลาให้บริการคือ 11.00 – 14.00 น. และ 17.00 – 20.00 น. สามารถสั่งอาหารทางโทรศัพท์ แต่วิธีการสั่งทางไลน์น่าจะสะดวกที่สุดครับ @8020bkk อาหารส่วนใหญ่จะคงเดิม แต่อาจจะเมนูใหม่ ๆ พิเศษ ๆ สลับ ๆ มาให้เห็นบ้างในแต่ละสัปดาห์ โดยเฉพาะของหวานจากเชฟซากิครับ
7. Chim by Siam Wisdom (one michelin starred restaurant)
ชิมบายสยามวิสดอมเป็นอีกหนึ่งร้านที่ผมมีโอกาสแวะเวียนไปหลายหน ไปทุกครั้งก็จะได้รับประทานอาหารไทยอลังการที่มาเป็นคอร์สเรื่อย ๆ จนกระทั่งอิ่มหรือจุก ในวันที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ร้านก็ปรับตัวพอสมควร โดยปรับแบรนด์เป็น Siam Wisdom Delivery ที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเดิมเพราะยังกุมบังเหียนโดยเชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ ผู้ซึ่งน่าจะมีวันเกิดวันเดียวกับผมครับ
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
แม้ร้านจะมีเมนูแบบตามสั่ง แต่สารภาพจากใจว่า ทุกรอบที่ผมไป ผมก็จะสั่งอาหารชุดทุกรอบ อาหารชุดจะมี 2 ราคา คือเทสติ้งเมนูซึ่งย่อมเยากว่าพรีเมียมเมนู ราคาล่าสุดคือ 2,150 ++ และ 2,950 ++ ตามลำดับ จำนวนคอร์สเท่ากัน แต่ต่างกันที่วัตถุดิบ ซึ่งผมก็กินคอร์ศราคาถูกกว่าทุกรอบ แต่อาหารอร่อยทีเดียวเลยนะครับ เช่น พล่าเนื้อย่าง แกงฮินเลหมู หรือแม้แต่ซูเฟล ส่วนตัวแล้วผมชอบรสมือร้านนี้ในวันที่อยากจะกินอะไรรสจัดเสียหน่อยครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
การสั่งอาหารแนะนำทางไลน์ดีที่สุด แต่อาจจะต้องเล็งเวลาดี ๆ เพราะอย่างเพื่อนผมส่งไลน์ไปถามแต่ตอบดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมง เพื่อนท่านเลยเปลี่ยนใจไปสั่งร้านอื่น ส่วนผมเองโทรไปสิบโมงเช้า โทรเสร็จก็ไปคุยกันในไลน์ต่อ ขั้นตอนการสั่งไวดี แม้พนักงานจะงง ๆ และจะเก็บค่าส่งทั้ง ๆ ที่สั่งมากกว่า 500 บาท และจุดรับของก็อยู่ถัดจากร้านมาสองซอยเท่านั้นครับ ข้อจำกัดอีกอย่างคือร้านกะเวลาส่งหรือรับของได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่จะแจ้งเมื่อคนส่งออกจากร้าน ผมซึ่งกำลังต่อแถวอยู่ใน UFM Fuji Super ที่คิวยาวเหยียดเพราะครอบครัวชาวอาทิตย์อุทัยแห่มาซื้อของ ยังดีที่ไปช่อง Fast Track ได้ เลยออกมารับของทันครับ
วันนี้สั่งอาหารชุดครับ ที่นี่จะมีกับข้าวให้เลือกราว 20 อย่าง และมลังเมลืองขนาดมีแกงระแวง แกงสิงหล แกงฮินเล และแกงจีนจ๊วนให้เลือกสั่ง ส่วนอาหารชุดมีห้าแบบให้เลือก ราคาเท่ากับสั่งปกติ แต่จะแถมข้าวสวยหุงน้ำดอกมะลิและเครื่องจิ้มประจำวันมาให้เพิ่มเติม ผมเลือกชุดถูกสุดคือชุด D ราคา 700 บาทถ้วน มีอาหารสามอย่าง อย่างแรก ไก่กอและ มาแบบสะโพก 2 ชิ้นใหญ่มากจนน่าตกใจกับราคา คือ 190 บาท ไก่น่มชุ่มฉ่ำ และเด้งสู้ฟัน ย่างมาไม่มีความแห้งเพราะเครื่องหมักถึงข้างในจริง ๆ หอมส้มซ่าเจือความเปรี้ยวอ่อน ๆ น้ำราดคือเข้มข้นมาก เหมือนกึ่งสะเต๊ะกึ่งแกงแบบเรนดัง แต่อร่อย จริง ๆ อยากแนะนำว่าตอนเสิร์ฟกลับบ้าน น่าจะแยกไก่กับน้ำจิ้ม เพราะกว่ารถจักรยานยนต์จะมาถึงผม มันเลยเลอะกล่องมากไปเสียหน่อย ผมคิดว่าให้ 9.75 เต็มสิบได้สบาย ๆ ครับ
ถ้วยสอง เป็นแกงขี้เหล็กปลาย่างใส่แก้มหมูคุโรบูตะ ผมไม่สันทัดแกงขี้เหล็กเท่าไรนัก แต่ก็แอบชิมจากสำรับคุณแม่ พบว่า แกงที่นี่ข้นมาก หอมกะทิ หอมเครื่องแกงที่มีปลาย่าง ขี้เหล็กทั้งดอกและใบที่ใส่มาไม่ขม จัดว่าอร่อยเลย ตัวคุณแม่ชมว่ารสจัด มีเผ็ดติดขึ้นมา แต่ก็ยังกลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อน ๆ คือวิเศษมากครับ ถ้าสั่งเปล่า ๆ จะราคา 320 บาทครับ
ลำดับถัดมาในชุดเป็นปลาทูซาเตี๊ยะ รูปไม่ตรงปกอีกแล้ว เพราะนึกว่าจะได้ตัวเดียว แต่ได้มาสองตัวแบบเก็บหัวเก็บหางไปเรียบร้อย และชิ้นก็ใหญ่แบบใหญ่มาก จนคิดว่าจะเหลือกำไรอยู่บ้างไหม คำแรกที่ชิมคือหอมน้ำตาลน้ำอ้อยแบบเด่นชัด ชอบมาก ๆ สลับกับหอมซีอิ๊วที่ใช้ตุ๋น มีพริกจินดาที่เสริมเผ็ดแบบกลมกล่อม ไม่ใช่แบบเผ็ดขี้ข้าคือสักแต่ว่าเผ็ด ตะไคร้ช่วยลดความคาวของปลาแต่ไม่ได้ทำให้กลิ่นตะไคร้โดดออกมา เครื่องที่ให้กินด้วย จะเหมือนเครื่องยำครับ ทั้งหอมแดง พริก ตะไคร้ และขิง ช่วยให้สมดุลกับรสหวาน ๆ ก่อนหน้า ราคาจานนี้ 190 ถ้วนครับ
ของแถมในชุด เครื่องจิ้มประจำวัน เอาตรง ๆ ผมไม่ทราบว่าเป็นน้ำพริกอะไร แต่มันมีกลิ่นของวัตถุดิบที่ผมไม่กินอยู่อย่างหนึ่งแน่ ๆ เลยยกให้คุณแม่ ท่านบอกว่าอร่อยมาก หนักเครื่องและเผ็ดดี เครื่องเคียงที่เป็นผักนั้นก็สมบูรณ์มาก ทั้งแตงกวา แครอท ข้าวโพดอ่อน กระเจี๊ยบ มะเขือ ถัวพู ไปจนถึงขมิ้นขาว ปิดท้ายด้วยไข่ต้มยางมะตูมอีก 2 ฟอง ที่ผมขอบอกว่า to die for ปกติชุดนี้ 120 แต่ถ้าสั่งอาหารชุดก็ได้ฟรีครับ
สุดท้ายอาหารสั่งแยก ข้าวมันไก่ใตำนาน ราคา 150 บาทเท่านั้น (ถูกกว่ามณเฑียรเกินครึ่ง) มาพร้อมซุปฟักที่ละมุนมาก (จริง ๆ แอบอยากให้เข้มกว่านี้อีกนิด) น้ำจิ้มที่อร่อยหอมพริกขี้หนูและขิง ข้าวมันที่ไม่ได้มันเลี่ยนแต่เงาสวย รสเค็มอ่อน ๆ และหอมแซฟฟรอนหรือหญ้าฝรั่นที่เจืออยู่ และที่ดีคือไก่ที่เป็นไก่เบญจา เนื้อนุ่มแบบที่ควรเรียกว่า succulent ได้ ม้วนและหั่นมาเป็นก้อนกลมจนนึกว่าทำ chicken roulade รสชาติไก่มีสิบให้ร้อย อร่อยเลิศ กินกับเครื่องเคียงอย่างแตงกวาและถั่วงอกที่รองด้านล่างเข้ากันดี มันดีจนผมคิดว่า เชฟหนุ่มแตกแบรนด์และเปิดร้านข้าวมันไก่เถิดครับ ได้โปรดดดดด
Verdict เป็น 850 บาทที่คุ้มค่ามาก (อาหารชุด 700 และข้าวมันไก่อีก 150) ปริมาณอลังการ วัตถุดิบดีเลิศ และเป็นอาหารไทยแบบไม่หวงเครื่อง มีความเร่าร้อนในรสชาติ ส่วนจานที่ไม่เคยมีในเมนูที่ร้านอย่างข้าวมันไก่นี่คือดี ดีจริง ๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ขอวิจารณ์คือ อยากจะให้ปรับภาชนะที่ใส่สำหรับจัดส่ง เพราะอาหารไทยนี่ ทั้งมีส่วนที่เป็นน้ำ และน้ำมัน จะได้ไม่เปรอะถุงหรือเปรอะเปื้อนข้ามกล่อง และสุดท้ายคือ ผมไม่ได้รับแถมข้าวสวย (ซึ่งอร่อยมาก) ไม่แน่ใจว่าร้านลืม ตั้งใจลืม หรือเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่มีคำอธิบายใด ๆ ถ้าบอกกันสักนิดจะได้บริหารความคาดหวัง เพราะวันนี้บ้านผมตั้งใจไม่หุงข้าวเลยครับ ๕๕๕
ข้อมูลจำเพาะชิมบายสยามวิสดอม ให้บริการอาหารแบบนำกลับบ้านหรือส่งถึงบ้าน ทั้งในรูปแบบตามสั่งจากเมนู และอาหารชุด สามารถโทรสั่งหรือไลน์สั่งได้ที่ siamwisdom ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 20.00 น. ครับ ค่าส่งตามระยะทางแต่ส่งฟรีในบริเวณอโศก ทองหล่อ และเอกมัย (เมื่อสั่งเกิน 500 บาท) ครับ
8. เสน่ห์จันทน์ Saneh Jaan (one michelin starred restaurant)
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ร้านอาหารไทยกลาง ๆ สวย ประณีต แต่ไม่ได้ว้าวหรือหวือหวา เน้นการปรุงแบบดั้งเดิม มาบ่อยไหม ก็บ่อยระดับหนึ่ง การบริการที่ร้านผมเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ จนบางครั้งกลายเป็นไม่พิเศษ เพราะจะมีความแอบขาด ๆ เกิน ๆ ซ่อนอยู่ เมนูที่คิดว่าชอบจริง ๆ ของที่คงเป็นไข่พะโล้หมูเต้าเจี้ยวที่บริการพร้อมพริกขี้หนู และไอศกรีมกะทิที่เครื่องเคราดูอลังการสมราคา(แพง) ตอนหลังมีอาหารชุดง่าย ๆ มื้อเที่ยงก็ทำให้กลายเป็นร้านติดดาวมิชลินที่เอื้อมถึงมากขึ้นครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
ในวันที่มานั่งรับประทานที่ร้านไม่ได้ การซื้อกลับมารับประทานที่บ้านจึงเริ่มต้นขึ้นครับผมโทรไปราวบ่ายสองโมงนิด ๆ มีเมนูในใจเรียบร้อย เมนูแรกคือยำเสน่ห์นางก็ปกติดี แต่พอสั่งเมนูที่สองคือไข่พะโล้หมูเต้าเจี้ยว เท่านั้นแหละ ร้านแจ้งเกือบจะทันทีว่าหมดแล้ว ดับฝันผมกลางสายโทรศัพท์ เพราะผมอยากกินไข่พะโล้มาก ไม่เป็นไร ผมผู้ซึ่งไม่ทันตั้งตัว ต้องกวาดตาดูเมนูใหม่อีกรอบ สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่เมนูเดิม ๆ อย่าง ไก่บ้านตะนาวศรีคั่วใบจั๋น ซึ่งพนักงานก็ปล่อยผมถือสายรออีก ก่อนจะกลับมาบอกว่าได้เป็นกล่องสุดท้ายพอดี เอาจริง ๆ นะตอนแรกกะจะสั่งถั่วฝักยาวผัดกะปิใส่กากหมู ซึ่งดีแล้ว เพราะเมื่อมาที่ร้านก็พบว่า เมนูนี้เป็นอีกอย่างที่หมดในวันนี้เช่นกันครับ เฮ้อ
ตอนไปรับผมไปถึงเร็วมาก จากอารีย์ไปวิทยุสินธรแบบทางปกติแค่ 15 นาที ผมเลยต้องไปนั่งรอสักครู่ ณ ตอนนี้ ถ้ามารับที่ร้านจะลด 25% ทุกรายการรวมทั้งเมนูตามฤดูกาลอย่างข้าวแช่ด้วยครับ พนักงานเชียร์ให้สั่ง แต่วันนี้ของขึ้นโต๊ะค่ำเต็มแล้วเลยข้ามไป มาเริ่มจานแรกยำเสน่ห์นาง แยกมาสี่กล่อง น้ำยำหนึ่งกล่อง น้ำยำจัดจ้านครบรส ที่แปลกใจคือมาหวานเปรี้ยวเค็มและเผ็ดน้อยลงกว่าในอดีตไปหน่อย เลยเห็นว่าหนนี้กลมกล่อมดี ขิง หอมแดง ตะไคร้ซอย หอมเจียว ถั่วลิสง แยกถุงกันแยกมาอีกกล่อง อีกกล่องเป็นใบชะพลูซอย กล่องสุดท้ายเป็นหมูกรอบ ซึ่งกินเปล่า ๆ ก็อร่อย ทอดมาแห้งจนกรอบทั้งส่วนหนังและเนื้อ ไม่มันมาก เพราะส่วนชั้นไขมันละลายไปหมดแล้ว จริง ๆ การกินก็คือคลุกทุกอย่างลงจาน แต่อยากให้ถ่ายรูปสวยหน่อยเลยจัดแบบนี้ ทำให้ใส่หมูกรอบได้แค่ 1 ใน 4 ของทั้งหมด เหลือ 315+ ครับ (ก่อนลดคือ 420+ ครับ)
อีกอย่าง ไก่บ้านตะนาวศรีคั่วใบจั๋น รสชาติเป็นอย่างไร ผมอธิบายไม่มาก ขอคัดลอกข้อความที่ผมเคยเขียนถึงเมื่อ 2 ปีก่อนมาได้เลยครับ น่าจะเห็นภาพชัดเจนที่สุด "ไก่บ้านคั่วใบจั๋น ระดับความเผ็ด 1.5 เม็ดพริก แต่เอาเข้าจริงน่าจะเป็น 5.1 มากกว่า เผ็ดโหดขนาดที่ผู้ร่วมโต๊ะผมกระดกเอเวียงพรวด ๆ ตามไปทีเดียว รสชาติเข้าปากจะตอนแรกอร่อย แล้วจะค่อยเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ใบจั๋นในที่นี้ก็คือใบยี่หร่าแหละครับ รสร้อนแรงสมที่ปรากฏในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ส่วนไก่บ้านผมชื่นชมวัตถุดิบ คือกัดไปคำแรกรู้เลยว่า free range chicken คือมันสู้ฟันแต่ไม่ใช่เหนียว ไม่ยวบเหมือนไก่ฟาร์มครับ จานนี้นะถ้าลดความร้อนแรงลงอีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น ทุกอย่างจะลงตัวที่สุดครับ" ส่วนราคา จานนี้ลดแล้วเหลือ 337.5+ ครับ (ก่อนลดคือ 450+ ครับ)
Verdict ดีตามสภาพ ราคากลาง ๆ แต่ราคาอยู่ใต้มีน หากเทียบกับร้านไทยมิชลินอื่น บริการวันนี้ดีขึ้นมาก และที่ชอบคือแพคเกจเอากลับบ้าน รู้สึกว่าใส่ใจในการแยกแต่ละอย่างได้ดี ทำให้อาหารไม่เสียรส ถ้ามีโอกาสก่อนสิ้นพฤษภาคม จะรับข้าวแช่ไว้พิจารณาครับ
ข้อมูลจำเพาะ ร้านอาหารเสน่ห์จันทน์ อาคารสินธร เปิดให้บริการอาหารตามสั่งจากเมนูแบบนำกลับหรือส่งถึงบ้านทุกวัน เว้นวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. โดยสามารถโทรไปสั่งได้ และมีเงื่อนไขการสั่งและการส่งคือ หากรับที่ร้านด้วยตนเองจะลดราคาทุกรายการร้อยละ 25 และหากใช้บริการส่งถึงบ้านจะส่งฟรีเมื่อมียอดสั่งซื้อตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปครับ
9. เมธาวลัยศรแดง (Methavalai Sorndaeng) (one michelin starred restaurant)
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ศรแดงเป็นอีกร้านที่มาบ่อย ผมมีโต๊ะประจำคือหมายเลข 1 และ 7 ที่จองไปนั่งประจำพร้อมวิวพาโนรามาของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประทับใจนักร้องสูงวัยท่านเดิมที่เสียงดีไม่มีตก และก็คิดถึงผ้าปูโต๊ะที่ยับแต่โก้ เช่นเดียวกับเสื้อนอกของพนักงาน และเป็นร้านที่ผมนิยามว่า ร้านมิชลินที่ผมประหลาดใจที่สุด เพราะมันไม่ได้หวือหวา หรือต้องมาลุ้นลูกเล่นในแต่ละจาน มันคือกับข้าวง่าย ๆ ที่จับต้องได้ ในบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง พร้อมกับราคาที่แสนจะเป็นมิตร ผมชอบหลายเมนูที่นี่ เช่น ห่อหมกปู ออเดิร์ฟรวมแบบที่ 2 ไม่ก็พะแนงเนื้อ ไปจนถึงเป็ดพะโล้ครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
ในวันที่สถานการณ์เป็นแบบนี้ วันนี้ศรแดงสามารถสั่งผ่าน Grab ได้แล้ว พร้อมลดราคา 20% เกือบทุกเมนู (มีอยู่น้อยรายการมากที่ไม่ลด) และถ้าสั่งเป็นชุดพร้อมข้าว จะลดราคาลงชุดละ 130 บาทครับ มีให้เลือกหลายชุดเช่นกัน
เพราะอยากรับประทานง่าย ๆ เลยสั่งมาสองอย่าง อย่างแรกเป็นเมนูประจำ กินที่ไหนก็ยังสู้ที่นี่ไม่ได้คือ ข้าวอบหนำเลี๊ยบ หอมเตะจมูกตั้งแต่เปิดกล่อง ผมบรรจงใส่ถ้วยและแต่งจานให้ใกล้เคียงต้นฉบับที่สุดครับ เอาข้าวลงก่อน ตามด้วยหอมแดงและพริกขี้หนูซอย มะนาว เม็ดมะม่วงหิมพานต์เกรดดีแบบไม่แตกครึ่ง ก่อนจะวางผักชี ของแท้ต้องวางลงไปทั้งต้นไม่ต้องเด็ด ข้าวที่นี่เงาสวย ไม่มัน เค็มปะแล่ม ๆ กำลังดี หอมหนำเลี๊ยบอ่อน ๆ ใส่หมูมาแบบไม่หวงเครื่อง บีบมะนาวแล้วลงมือคลุกก็จะเห็นสวรรค์รำไรครับ ราคาลดแล้วตอนนี้ 162 บาทถ้วน คิดว่ากินได้สองคนอิ่มครับ
จานที่สอง เป็นครั้งแรกที่สั่ง ปกติสั่งแต่ออเดิร์ฟชุดสอง แต่วันนี้อยากลองออเดิร์ฟชุดหนึ่งดูบ้าง รายการออเดิร์ฟเป็นชุดนี้จะเอาอาหารเรียกน้ำย่อยสี่อย่างมาเสิร์ฟแบบ half portion ทอดมันจากสี่เหลือสอง แต่ยังหนึบปลากรายรสจัดถึงเครื่อง และน้ำจิ้มแตงกวาที่ให้มานั้นน่าจะเป็นขนาด full portion เพราะเยอะเชียว ส่วนฟองเต้าหู้สอดไส้ วันนี้จากสี่จะเหลือสองเช่นกัน ชิ้นใหญ่ อมน้ำมันไปนิด แต่กุ้งกับหมูที่ใส่ไส้มาอย่างละครึ่ง ๆ เด้งอร่อยดี อย่างที่สามเป็นกระทงทอง ขนาดเต็มคือแปดก็จะลดเหลือสี่ชิ้น รูปร่างหน้าตาไม่ค่อยสวย แป้งอาจจะทอดแล้วหนาไม่เสมอกัน ตัวกระทงอาจจะเอียงและไม่เต็มรูปบ้าง แตรสชาติดีมาก กรอบแบบ crack เลยล่ะ ร้านแยกกระทงกับไส้ข้างในออกจากกัน ไส้มีกุ้ง หมู แครอท ข้าวโพด มันแกวปรุงรสมาอร่อย เค็มเจือหวาน และปริมาณของไส้ให้มาแบบที่คงใส่ได้แปดกระทงครับ ปิดท้ายหมี่กรอบ ไม่กรอบมาก ไม่เหนียว (ซึ่งผมชอบ) มาแบบร่วน ๆ หอมส้มซ่ามะขามเปียก รสเปรี้ยวตัดหวานเค็มกำลังดี มีใบกุยช่ายแซมกับไข่ฝอยกรอบเล็ก ๆ ที่ดีที่สุดคือเต้าหู้ทอดและหมูสามชั้นหวานที่แทรกอยู่ อร่อยมากครับ จานนี้รวมกัน 308 บาทถ้วนครับ
Verdict ถ้าอยากกินอะไรง่าย ๆ ไร้ wow factor ก็สั่งได้ กับข้าวทั้งเมนูไม่หวือหวาและเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันดีตามร้านอาหารไทยทั่ว ๆ ไป แนว old school แต่รสมือคิดว่าให้เหนือกว่าค่ามาตรฐานได้อยู่ครับ
ข้อมูลจำเพาะ ร้านอาหารเมธาวลัยศรแดง เปิดให้บริการอาหารในรูปแบบนำกลับบ้านหรือส่งถึงบ้าน ทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. โดยลดราคาลงจากราคาในเมนูปกติ 20% และในส่วนของอาหารชุดจะลดราคาลงชุดละ 130 บาท สามารถโทรศัพท์เพื่อสั่งอาหาร หรือผ่านช่องทางไลน์ @methasorndaeng ใช้บริการไลน์แมน หรือบริการของ Grab ก็ได้เช่นกันครับ
10. Saawaan (สวรรค์) (one michelin starred restaurant)
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
สวรรค์เป็นร้านที่มีแนวทางชัดเจนครับ คือขายอาหารค่ำ 10 คอร์ส ยุคแรกราคา 1,950++ พอได้ดาวมิชลินก็มีการปรับเมนูใหม่และปรับราคาขึ้นเป็น 2,450 ++ นับว่าร้านกล้ามาก ๆ เพราะสองปีเปลี่ยนเมนูแค่ครั้งเดียว ผมเองเคยมีโอกาสไปลองเมนุชุดแรก จำได้ว่าชอบคอหมูอิเบริโกย่างเอามาก ๆ เช่นเดียวกับต้มโคล้งหอยนางรมจากแคว้นนอร์มังดี และกะเพราเส้นปลาหมึกดำ แต่ก็มีจานที่แทบจะบอกข้ามอย่างเมี่ยงใบชาที่เอามาเป็น palate cleanser แต่รสชาติไม่เอาไหนเอาเสียเลยครับ อย่างไรก็ดี ในเมนูล่าสุดที่จัดเป็นคอร์ส ผมยังไม่ได้กลับไปซ้ำ สาเหตุเพราะมีคอร์สนกกระทา คอร์สแกงใบย่านาง และคอร์สสะตอที่ผมไม่สันทัดเลยครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
เมื่อร้านในเครืออย่างอิษยาของเชฟเอียน คาซา สับปะรด บ้านผัดไทย น้ำซ่าส์บอทเทอลิ่งทรัสตส์ ฯลฯ ปรับตัวจากนั่งรับประทานที่ร้าน มาส่งถึงบ้าน และจัดรูปแบบพิเศษโดยมีเชฟกับเมนูเวียน ๆ แบบประจำวันในราคา 590 บาทถ้วน ผมก็ได้แต่นับวันรอ ว่าร้านหนึ่งดาวอย่าง "สวรรค์" ของเชฟอ้อม สุจิรา แะเชฟเปเปอร์ อริสราจะเวียนมาวันไหน จนกระทั่งวันหนึ่งก็สมอยากครับ
ยอมรับว่านี่คือ 590 บาทที่น่าตื่นตะลึงที่สุดครับ ทั้งปริมาณและคุณภาพทำเอาหลายร้านดูแพงไปถนัดใจ ตอนที่มาส่ง พนักงานหยิบของจากกล่องด้านหลังมาเรื่อย ๆ แบบชั่วนิรันดร์เหมือนกระเป๋าโดราเอมอน ซึ่งผมจะขอเล่าไปทีละอย่าง เริ่มจากข้าวเหนียวที่นุ่มอร่อย และปริมาณคือสองคนอิ่ม อีกหนึงกล่องกระดาษใหญ่เป็นแคปหมูไร้มันที่หอมอร่อย เค็มอ่อน ๆ และไม่มีกลิ่นหืน ปริมาณมากพอที่จะเจียดไปใส่ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกได้อีกถ้วยสองถ้วย อีกหนึ่งกล่องเป็นเครื่องเคียงคือผักสด เท่าที่กวาดตาเร็ว ๆ มาทั้งกะหล่ำปลี แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักบุ้งไทย มะเขือเทศเชอร์รี่ หรือแม้กระทั่งถั่วพูครับ
ตัดเข้าจานหลักกันบ้าง น้ำพริกหนุ่ม สิ่งที่ผมไม่โปรด แต่วันนี้จ้วงเอา ๆ ส่วนหนึ่งเพราะรสจัดจ้านมีความเผ็ดโดดมานิดหน่อยแบบไม่น่าเกลียด หอมพริกหนุ่มชัดเจน ขณะที่ไส้อั่วจิ๋วมาร่วม ๆ 20 ชิ้น ใช่ครับ 20 ชิ้น รสชาติหนักเครื่องเทศสมุนไพร ปรุงรสจัด และไม่มีมันเลย ผมชอบมาก ๆ สุดท้าย แกงฮังเล กล่องหนักมาก หมูสามชั้นสามชิ้นเขื่อง ๆ ต้มจนเปื่อย น้ำแกงครบรส และมีความเปรี้ยวอ่อน ๆ แบบที่ผมชอบ มาพร้อมกระเทียมโทนสดเม็ดใหญ่ ดีงามแบบที่ผมคิดว่า นั่งกินตามร้านชามนี้ก็คงเกือบสองร้อยแล้วครับ
หากคิดว่าหมดแค่นี้ คุณคิดผิด ยังมีของหวานของเชฟเปเปอร์ เป็นเมนูเดียวกับที่ครีเอทให้ร้านกิติพานิชที่เชียงใหม่ ที่ผมเพิ่งแวะไปเมื่อเดือนก่อน ข้าวเม่าน้ำกะทิ รสชาติแบบเดียวกันเลย มาตั้ง 5 ลูก จิ้มกะทิแบบเดียวกัน คุณแม่ผู้ซึ่งไม่ชอบของหวาน และน้องสาวที่ไม่ชอบมะพร้าวแย่งผมไปกินเกือบหมด อร่อยมากแบบถึงตาย มีมาชเมลโลรสลิ้นจี่สไตล์อิษยาของเชฟเอียนให้ล้างปาก ซึ่งวิเศษไม่แพ้กัน (ขายของหวานเปล่า ๆ ส่งถึงบ้านเมื่อไหร่ จะไม่ลังเลสั่งครับ) ปิดท้ายในชุดยังมีเครื่องดื่มเป็นบางกอกคราฟต์โซดา ผมเลือกรสโคล่ากลิ่นกระเจี๊ยบ ก็ดีแบบคาดเดาได้ครับ
Verdict นับเป็นมื้อที่น่าประทับใจทั้งราคา รสชาติ และคุณภาพ สั่งได้เลย ไม่ต้องรอ แต่จะมีวันละ 15 – 20 ชุด เปลี่ยนเชฟ และเปลี่ยนร้านทุกวัน หากวันไหนเชฟเวียนมาอีก จะรีบสั่งแน่ ๆ และยังส่งฟรีในโซนธุรกิจ ด้วยราคา 590 บาทถ้วนไม่บวกแต่ของเพียบ ผนวกกับรสชาติขั้นเทพ ถือว่าแก้ขัดแบบไม่ต้องไปร้านสวรรค์ครับ
ข้อมูลจำเพาะ ร้านสวรรค์ ถ้าเป็นเมนูปกติจะมีส่งถึงบ้านเพียงอย่างเดียวคือ พะแนงซี่โครงเนื้อครับ แต่หากอยากลองฝีมือเชฟออมวันอื่น ๆ อาจจะต้องติดตามเพจแล้วดูเมนูเป็นวัน ๆ ไป ซึ่งจะจัดราคาโปรโมชั่นทุกวัน ราคา 590 บาท จะมีจานเรียกน้ำย่อย จานหลัก ของหวานและเครื่องดื่มแน่ ๆ แต่จะมีจำนวนกี่จานก็แล้วแต่วันครับ ส่งฟรีในเขตคลองเตย บางรัก สาทร วัฒนา และปทุมวัน การสั่งคือโทรไปที่เบอร์กลางของร้านฝั่งร้านอิษยา หรือจะไลน์ไปที่ issaya delivery ก็ได้ครับ บริการในช่วง 11.00 – 20.00 น. ทุกวัน (ทั้งนี้ ช่วงนี้เหมือนร้านเลิกทำอาหารชุดไปชั่วคราวหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ)
11. ร้านเจ๊ไฝ Raan Jay Fai (one michelin starred restaurant)
ส่วนที่ 1 รับประทานที่ร้าน
ตั้งแต่เจ๊ไฝได้หนึ่งดาวมิชลินเมื่อปลายปี 2560 โลกของเราก็ไม่เหมือนเดิม ผมหาเวลาและโอกาสไปรับประทานได้ยากขึ้น ถ้าจะไปต่อคิวหน้าร้านคงไม่ไหว จะอีเมลไปก็ต้องกะเวลาดี ๆ จนกระทั่งเหมือนมีพระ ไม่ใช่สิ Application ของ Chope มาโปรด ทำให้สามารถเข้าถึงเจ๊ไฝได้ง่ายขึ้น สิ่งที่อยากบอกในฐานะเป็นลูกค้าร้านนี้มานานพอสมควร คือ ราคาแพงเป็นเรื่องจริง แต่อยากให้พิจารณาคุณภาพวัตถุดิบและรสชาติที่ได้รับ รวมถึงประสบการณ์การรับประทานที่เกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่อยากบอกกล่าวมาก ๆ คือ เรื่องการบริการ เมื่อรุ่นลูกของเจ๊ไฝเข้ามาดูแล มันไม่ใช่ mom and pop shop เหมือนเคย อย่างน้อยในอินสตาแกรมของเจ๊ภาษาอังกฤษก็เบี้ยบเอามาก ๆ ระบบการโทรจอง การสั่งอาหารก็ดีขึ้น และบริการเทียบชั้นร้านมิชลินอื่น ๆ (หรืออาจะดีกว่าบางร้าน) ด้วยซ้ำไปครับ
กินที่ร้านนี่สั่งได้หลากหลาย แน่นอนว่าไข่เจียวปูยืนหนึ่ง และตอนนี้มีราคาเดียวแล้ว เจ๊ไม่มีราคาขอบล่างให้เลือก จานเส้นสักจาน จะผัดซีอิ๊ว ราดหน้า ผัดขี้เมาอะไรก็ได้ อ้อ ผมชอบโจ๊กแห้งมาก ๆ ครับ เสียดายเจ๊เลิกทำโจ๊กแห้งหมูแล้ว เปลี่ยนไปลองใส่ไก่แล้วพบว่า สั่งแบบโจ๊กแห้งทะเลน่าจะไปได้ดีที่สุดครับ
ส่วนที่ 2 รับประทานที่บ้าน
จะบอกว่าปีนี้ผมนอกใจร้านประจำของผมในวันเกิด (เดี๋ยวจะเล่าสาเหตุทั้งหมดในความเห็นถัดไปครับ) โดยเปลี่ยนไปรับอะไรง่าย ๆ สอดรับกับสถานการณ์ที่ร้านอาหารให้บริการแบบนำกลับ และการเริ่มจำกัดเวลาการออกนอกเคหสถาน ซึ่งพระราชกำหนดมีผลใช้บังคับในวันเกิดของผมพอดี
ร้านเจ๊ไฝวันนี้คิวสั้นลงมาก ไม่เงียบแต่ก็ไม่ได้มีมหกรรมต่อแถวยาวเหมือนในอดีต ผมตั้งใจสั่งเพียงจานเอกจานเดียวคือไข่เจียวปูหรือ crab omelette ในตำนานกลับบ้าน ลูกสาวเจ๊ยังอัธยาศัยดีเหมือนเดิมพร้อมแสดงความเสียดายที่ผมต้องสละสิทธิ์การจองโต๊ะวันที่ 18 เมษายนของ chope (ผมจองมาร้านเจ๊ไว้แบบเดือนเว้นเดือน แต่ตอนนี้จองง่ายขึ้นมาก)
ไข่เจียวของเจ๊ยังอร่อยเหมือนเดิมขนาดนำกลับบ้าน ไข่กรอบด้านนอกแบบไม่มีคำว่าอมน้ำมัน ข้างในนุ่ม เนื้อเนียนละเอียด และอัดแน่นด้วยปูก้อนขนาดใหญ่แบบที่น่าจะเรียกว่า everlasting crabmeat หรือปูนิรันดร์เพราะไม่ว่าจะผ่า จะจ้วงตรงจุดใดก็ยังเจอปูสด ๆ รสหวานอร่อยอย่างเต็มคราบ ซอสพริกที่ให้มาจะรับเพิ่มหรือบอกข้ามก็อร่อยได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันครับ
Verdict อย่าเชื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้าง จนกว่าจะได้ลองจริง ๆ เพราะบริการ รสชาติ หรือแม้แต่ตัวเจ๊ไฝเอง ทุกอย่างมันคือตำนานที่ทำให้วันธรรมดาหรือวันพิเศษของผมพิเศษขึ้นไปอีกได้เสมอ ๆ ครับ
ข้อมูลจำเพาะ ตอนนี้ร้านเจ๊ไฝโทรไปสั่งและไปรับได้แล้วนะครับ โอนเงินไปล่วงหน้าแล้วก็ได้ หรือจะสั่งผ่าน Get ก็ได้ (แต่เมนูออกจะแปลกอยู่เสียหน่อยครับ) ส่วนอีเมลก็ได้นะครับ (อันที่เป็น gmail แต่ผมว่าเหมาะกับการใช้จองโต๊ะมากกว่า) เช่นเดียวกันกับ Instagram jayfaibangkok ของเจ๊และลูกเจ๊ครับ
บทสรุป การที่นำอาหารแต่ละร้านมารีวิวในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นไปเพื่อให้เห็นว่า แม้แต่ผู้ประกอบการที่สายป่านยาว มีลูกค้าเฉพาะกลุ่มแน่ ๆ ก็ยังต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ และสำหรับท่านที่รู้สึกว่าการไปรับประทานอาหารในร้านแบบนี้ จะต้องนั่งเกร็งเป็นกังวลกับขั้นตอนการให้บริการ ก็สามารถทดลองสั่งมารับประทานที่บ้าน ซึ่งไม่มีข้อจำกัดด้าน Dress Code ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้มีด ส้อม ช้อน จาน และแก้วถูกหรือไม่ และอยากจะลุกขึ้นมารับประทานตอนกี่โมงก็เป็นไปได้ ทั้งหมดนี้ในราคาที่ถูกลงกว่าที่ร้าน(บ้าง) เนื่องจากต้นทุนด้านประสบการณ์และบริการถูกตัดทอนออกไปครับ
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.in.th ขอขอบคุณที่มา : buenos