รีโนเวทบ้านเก่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
เชื่อว่าทุกๆคนคงจะมีความทรงจำที่ดีกับบ้านหลังเก่าในวัยเด็ก วันนี้kaijeaw.in.thจะพาเพื่อนๆมีดูการรีโนเวทบ้านเก่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สวยงามและมีสตอรี่ที่ไม่มีวันลืม โดยสมาชิกพันทิป หมายเลข 1415794 พร้อมแล้วไปชมกันเลยครับ
เอางี้ครับ เพื่อความสนุกตื่นเต้น ผมมีเกมเดาราคาบ้านมาให้เล่นครับ ให้ทายว่าเฉพาะตอนที่ซื้อบ้านหลังนี้มา ซื้อมาในราคาเท่าไรครับ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายตอนโอนนะครับ)
ผู้โชคดีทายถูกท่านแรก ผมจะพาเที่ยวชม เกาะรัตนโกสินทร์และเลี้ยงมนต์นมสด ฟรีครับ อยู่หน้าบ้านนี้เอง(พาเพื่อนมาร่วมได้คน สอง คน)
ย่านพระนครมีเสนห์ที่ ทำให้ผมหลงใหล และอยากแบ่งปันครับ
เพื่อความสุภาพครับ
เรื่องมันนานมาพอสมควรแล้วนะครับ กับบ้านหลังนี้ที่ผมได้มา เรื่องราวมันก็เริ่มมาตั้งแต่ปี 2556 ประมานเดือนมิถุนายน ผมยังจำได้แม่นว่า วันนั้นเป็นวันที่ผมว่างจากงานและเริ่มคิดฝันว่าเราเองควรจะมีบ้านในกรุงทพสักหลังหนึ่ง เหมือนกับคนอื่นๆเขา ผมจึงตัดสินใจมาเดินย่ำฟุตบาทน้ำนองๆในกทมเพื่อจะเลือกซื้อบ้านสักหลังไว้เป็นที่พักเวลาเข้าเมือง .............ด้วยความเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คอนโดและหมู่บ้านจัดสรร ผมจึงเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับย่านที่อยู่อาศัยในกทม. แล้วก็บังเอิญไปเจอ Blog ของพี่คนหนึ่งซึ่งเคยอยู่ในเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ระหว่างปี 2525-2540 ใน Blog ของเขามีรูปภาพบ้านเรือนเก่าๆมากมายทีเคยถ่ายไว้จากละแวกเก่าแก่แห่งนี้ มันจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาเดินย่ำตรอก ซอกซอยในละแวกถนนราชดำเนินกลางถนนสายประวัติศาสตร์แห่งนี้.......ตรอก ซอก ซอย เล็กๆที่บ่งบอกถึงผังเมืองอันมีมาก่อนที่ กรุงเทพของเราจะถูกปกครองด้วยรถยนต์ บางซอยก็กว้างพอสำหรับรถยนต์ บางซอยก็กว้างเพียงแค่เดินสวนกัน บ้านเรือนในละแวกนี้มีผสมปนเปกันไปหลายสไตล์ แต่ที่มีมากที่สุดก็เห็นจะเป็นบ้านไม้สไตล์ ขนมปังขิง ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.5 และ ร.6 เท่าที่พอจะนับเอาได้ผมเห็นว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 80 หลังกระจุกรวมตัวกันอยู่ตามตรอกต่างๆ ในใจก็พลอยนึกจินตนาการไปถึงเพลง บัวขาว และ เงาไม้ของ พวงร้อย อภัยวงศ์ สมัยที่น้ำในคลองหลอดยังใส ลงเล่นได้
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอะไรที่จะเป็นของเรา ก็จะเป็นของเรา ซึ่งถึงแม้บ้านขนมปังขิงทั้งสองหลังที่นัดล่วงหน้ามาดูในวันนั้นจะมีความงดงามมากสักเพียงใดอุปสรรคต่างๆก็ทำให้เราไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ เกือบสี่โมงเย็นวันนั้นผมจึงคิดจะเดินทางกลับราชบุรีพร้อมกับการคว้าน้ำเหลว แต่ในขณะที่กำลังจะกลับนั้นเอง เด็กตัวน้อยที่พามาด้วยก็เหลือบไปเห็นร้านขายขนมเก่าๆร้านหนึ่งอยู่ค่อนเข้าไปในซอยเล็กๆกว้างพอรถเข้าได้ นั้นเป็นจุดเริ่มต้นให้เราเดินเข้ามาในซอยชื่อ "ตรอกศิลป์" และมาพบกับบ้านหลังนี้
การซื้อขนมของเด็กตัวน้อย เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาระหว่างผมกับเจ้าของร้านค้า ซึ่งสงสัยว่าคนแปลกหน้าเข้ามาทำอะไรในซอยเล็กๆนี้ เพียงแค่เล่าให้ฟังถึงการมาดูบ้าน เจ้าของร้านก็ชี้เข้ามาที่บ้านหลังหนึ่งอยู่เยื่องเข้าไปในซอย ผมจึงพากันเดินเข้าไปยังบ้านเพื่อสอบถามถึงข่าวการขาย ยิ่งเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นถึงความโรยราของตัวบ้าน และสภาพการดัดแปลงต่อเติมตามกาลเวลา แต่กระนั้นก็ยังพอเห็นเค้าโครงความงามในอดีต จึงคิดอยากลองฝีมือคืนชีวิตให้กับบ้านหลังนี้กันสักครั้งหนึ่ง
สภาพแรกที่เห็นจากภายนอกรั้วบ้านครับ
เรายืนด่อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้าน ในใจก็คิดว่าควรจะทำอย่างไรดีเพราะสภาพภายนอกของตัวบ้านเหมือนถูกปล่อยปะละเลยมานานจบเกือบจะเหมือนบ้านร้าง ก่อนจะตัดสินใจกดกริ่งเรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน บรรยากาศบ่ายแก่ๆ มันดูสงบเงียบผิดปกติ แถบจะไม่มีผู้คนเดินในซอยเลย ยืนรออยู่สักพัก ก็มีป้าแก่ๆคนหนึ่งอายุน่าจะเกือบเจ็ดสิบ เดินมาเปิดประตูบ้าน ผมจึงขออนุญาติถามว่าบ้านหลังนี้ต้องการขายจริงหรือไม่ และคำตอบที่ได้คือให้เข้ามาดูก่อนแล้วจะปรึกษากับญาติคนอื่นๆรวมทั้งคุณปู่อีกคนหนึ่งซึ่งไม่สบายนอนอยู่บนเตียงพยาบาลที่โถงกลางบ้าน ถ้าให้คาดเดาอายุแล้วก็น่าจะเข้าเลข 9 มาได้ประมานหนึ่ง
ผมจึงขอนุญาติคุณป้าเข้าไปดูในบ้าน ภายในบ้านมืดมากแทบมองไม่เห็นอะไรเลยรูปถ่ายทุกใบต้องใช้ Flash ครับ มืดๆเดินไปก็ลุ้นไปว่าจะเห็นอะไรมั้ย นี่คือรูปห้องโถงครับ
ขึ้นไปบริเวณชั้น สอง มีตู้เสื้อผ้าโบราณอยู่พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้โบราณอีกหลายชิ้น
และที่ตกใจที่สุดคือ เมื่อเปิดเขาไปในห้องเก็บของ มันมืดมากเลยใช้ flash ถ่ายติดมาแบบนี้ครับ ตกใจแทบแย่ตอนเปิดดูใสมือถือครั้งแรก
ทีแรกมืดๆนึกว่า ของจริงครับ นึกว่าถ่ายติดของดีมาซะแล้ว
เมื่อเดินดูรอบๆบ้านเสร็จผมก็คุยกับคุณป้าเจ้าของบ้านและได้ความว่าบ้านหลังนี้ถูกสร้างมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบแต่ตอนยังสาวๆคุณป้าจำได้ว่าตัวบ้านเคยมีลายฉลุมากกว่านี้ พี่ชายคนโตป้าหรืออย่างไรเคยรับราชการเป็นทหารเรือแล้วชวนเพื่อนๆมาบูรณะบ้านครั้งใหญ่อยู่หนหนึงสัก สามสี่สิบปีมาแล้ว มีการเปลี่ยนส่วนต่างๆของบ้านไปมากมาย แต่ที่จะคงเหลือไว้ดีที่สุดก็คือบันได้ ส่วนลายฉลุบางส่วนก็น่าจะถูกเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งก็ไม่เคยรื้อค้นมานานแล้ว
จากสภาพบ้านที่ผมเห็นผมก็นึกเสียดายบ้านมาก ในใจก็นึกว่าเราปักธงมาตั้งแต่แรกแล้วว่าคงจะเอาหลังนี้ ถึงสภาพมันจะโทรมสักเท่าไร ถึงมันจะชวนขนหัวลุกกว่าหลังอื่นๆที่ได้ดูมา แต่ก็ตัดสินใจซื้อมาครับ นัดวางมัดจำกับทางคณะญาติๆคุณป้าในไม่กี่วันต่อมา ส่วนตอนไปซ่อมจะเจออะไรบ้างนั้น เดี๋ยวมาต่อครับ
ไม่กี่วันต่อมาหลังจากเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมานั้งทำการบ้านสืบค้นประวัติของบ้านหลังนี้ เพื่อที่จะทำการบูรณะมันสู่สภาพเดิมต่อไป
เอกสารที่ดีที่สุดในการช่วยประเมินอายุของบ้านก็คือ โฉนดที่ดินครับ แน่นอนว่าวันที่ออกโฉนดและวันที่บ้านถูกสร้างไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงเวลาเดียวกัน แต่มันก็เป็นเครื่องมือนำทางที่ดีในการเริ่มต้น ปีพ.ศ.ที่ระบุว่าโฉนดถูกออก คือ 2462 แก่พระยาท่านหนึ่ง ซึ่งจากการค้นประวัติน่าจะเคยคุมกองทัพแถวเขต โคราช เพราะฉะนั้นตัวบ้านก็มีโอกาสที่จะมีอายุเก้าสิบกว่าปี ร่วมร้อยปี
เมื่อพอจะทราบช่วงเวลาคร่าวๆ ผมก็ต้องไปพยายามหาหลักฐานการมีอยู่ของตัวบ้าน สมัยนั้นใบขออนุญาติก็สร้างก็ยังไม่น่าจะมี ใครใครปลูกอะไรก็สร้างมารถทำได้ การออกโฉนดเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเริ่มมีการทำกันตั้งแต่สมัยกลางรัชกาลที่ 5 แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย ที่หลายๆผืนถ้ายังไม่มีนิติกรรมใดๆ เจ้าของส่วนใหญ่ก็ถือสิทธิจับจองไป มากกว่าที่จะไปยื่นของออกโฉนดเป็นเรื่องเป็นราว
หลักฐานในการพยายามระบุตัวบ้านอีกอย่างนึง ก็คือ แผนที่กรุงเทพ มหานครแต่ละสมัย ซึ่งสมัยก่อนมีการระบุอาคารไว้อย่างละเอียด ผมจึงเริ่มกลับไปดู แผนที่กทมใ 2475 (สำรวจเมื่อ 2468)
ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดครับ หลังจากเทียบระยะถนนและตำแแหน่งบ้านกับปัจจุบันแล้ว ก็พบว่า บ้านหลังนี้ถูกระบุไว้ในแผนที่เรียบร้อยแล้ว (จุดดำๆตรงกลางในวงกลมสีเขียวๆที่วงไว้ให้ครับ)(อาคารปูนระบายสีแดง อาคารไม้สีดำครับ)
การสืบค้นก็ดำเนินต่อไปครับ ก่อน 2475 เท่าที่พอจะหาได้ก็มีแผนที่ 2450 ครับ ซึ่งทำการสำรวจระหว่าง 2448-2450 เมื่อวางเทียบตำแหน่งดูแล้วก็พบว่าตัวบ้านยังไม่ปรากฎครับ (ตรงที่วงสีเขียวไว้)
ดังนั้นเราก็พอจะเดาได้คร่าวๆว่า บ้านน่าจะถูกสร้างระหว่าง 2450 ถึง 2468 ครับ อายุของบ้านถ้าเก่าสุดตอนนี้ก็จะอยู่ราวๆ 108 ปี ใหม่สุดก็ 90 ปีพอดีครับ
เมื่อเทียบแล้วระยะเวลาดังกล่าวก็แทบจะอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งหมด (ร.6 เสด็จสวรรณคตปี 2468 ปีเดียวกัน) การสืบค้นเช่นนี้ทำให้เราพอจะเดาอายุบ้านได้แคบลงอีกหน่อยคือ สถาปัตย์ในสมัย ร.6ตอนต้น และตอนปลายมีความต่างกับอยู่ในระดับหนึ่งคือ ลวดลายฉลุในสมัย ร.6 ตอนปลายจะมีน้อยมากครับ หรือแทบไม่ใส่เลย จะนิยมเล่นไม้ตรงๆเป็นทรงเรขาคณิตซะมากกว่า เพราะ เราเริ่มรับ ศิลปะ อาร์ตเดคโค่มาจากทาง ตะวันตกแล้ว ศิลปะ Neo-classical และ Art Nouveau ในสมัย ร.5 เริ่มเสื่อมความนิยมลงในกลางรัชกาลที่ 6 ลองนึกถึง Centara Grand หัวหินครับ เปิดใช้ปลายสมัยรัชกาลที่ 6 พอดีถือว่า ล้ำมากสมัยนั้น สังเกตุการเล่นลายฉลุในภาพนะครับ
สังเกตุ ราวบันไดครับ ไม่ฉลุแล้ว เล่นลสยซี่ไม้ตรงๆพอ
เทียบกับบันได้ของบ้านครับ
ตามด้วยพวกช่องลมครับและราวระเบียง ไม่ฉลุแล้ว มีความเป็น Art Deco สูงเมื่อเทียบกับสมัยก่อนหน้านี้
ดังนั้นก็พอจะเดาได้ครับว่าน่าจะเป็นบ้านสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนกลางถึงปลาย (ดูจากบันไดซึ่งไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงเลย) เมื่อพอทราบประวัติของบ้านแล้วก็เริ่มงานบูรณะได้เลยครับ
จากการตรวจสอบ ฝาบ้านซึ่งเป็นไม้ก็ผุพังไปมากแล้ว บ้างก็มีปลวกกิน บ้างก็ผุเพราะโดนน้ำฝน จึงต้องจำใจรื้อออกทั้งหมดครับ รวมถึงหลังคาเดิมที่ฝนรั่วด้วย ครั้นจะเอาไม้จริงมาใช้เหมือเดิมก็มีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูกมาก เลยตัดสินใจให้ทางทีมช่างใช้ไม้เทียม ไฟเบอร์ซีเมนต์ครับ พอเปลี่ยนฝาเสร็จ รูปร่างหน้าตาก็ออกมาเป็นแบบนี้ครับ
จากตอนแรกที่เป็นแบบนี้
หลังจากนั้นก็เริ่มขัดสีเก่าส่วนที่ร่อนๆออกครับ พร้อมกับกันห้องตามประโยชน์ใช้สอยใหม่ ด้านล่างเปิดโล่งหมด ส่วนชั้นบนกั้นเป็นห้องนอน สี่ห้องครับ
หลังจากขัดๆ ส่วนบนๆของตัวบ้านเสร็จ ก็เริ่มมาจัดการพื้นครับ
เริ่มด้วยการขัดผิวหน้าเดิมออกก่อน บ้านเก่ามากแล้วพื้นบางส่วนก็เริ่มบิดบ้าง ไม่ค่อยเรียบ ขัดปรับใหม่ให้เสมอกันครับ
แล้วก็ตามมาด้วยการยาร่องไม่ สมัยก่อนอาจจะใช้ดินสอพองผสมสี แต่สมัยนี้มีแบบสำเร็จขายครับ ราคาไม่แพงมาก ใช้ดีๆก็ตกค่าใช้จ่ายประมาน 4 - 7 บาทต่อตารางเมตร แพงกว่าดินสอพองแต่ความสม่ำเสมอของสีดีกว่า และคงทนกว่าด้วยสารผสมพิเศษที่เขาใส่มาครับ ถือว่าคุ้มค่าเพราะดินสอพองถ้าโดนน้ำก็ร่อนละลายได้ง่ายอยู่เหมือนกัน
พอลงดินสอพองเสร็จก็ขัดละเอียดอีกรอบ แล้วก็เริ่มลงสีย้อมไม้ชนิดที่ใช้ทาพื้นครับ อันนี้เลือกเป็นสี Walnut เพราะอย่างให้พื้นออกมาดูน้ำตาลนิดๆครับ ถ้าทาสีใสไปเลยตัวไม้พื้นของบ้านนี้มันจะออกมาแดงๆครับ ไม่ค่อนตรงกับสไตล์ที่อย่างให้เป็นเท่าไร
ลงสี
พอลงสองรอบเสร็จพร้อมกับใส่กระจกหน้าต่างกลับคืนเข้าไป ก็ออกมาได้อารมณ์ประมาณนี้แล้วครับ สังเกตุผ้าในห้อง ของเดิมเป็นไม้แผ่นบางๆหน้ากว้าง ประมาน6 นิ้วตีทับกันไปมาครับ แต่โดนปลวกเล่นงานเข้าไป ของใหม่ผมจึงตัดสินใจใช้เสื่อรำแพนแทนครับ ราคาไม่หนีกันเท่าไรต่อตารางเมตร แต่เสื่อรำแพนให้ความรู้สึกที่ Exotic กว่า
สวยงามมาก
ส่วนห้องอื่นๆของบ้านก็ประมานนี้ มาถึงจุดนี้ก็ประมานสามเดือนครับตั้งแต่เริ่มซ่อม
มีช่องระบายอากาศ
มุมบันได
หลังจากจัดการภายในตัวบ้านเสร็จก็เริ่มมาทาสีข้างนอกครับ หลายๆอย่างอาจจะไม่ได้ใช้วัสดุเดิมทั้งหมดร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็พยายามทำให้ตัวบ้านสามารถอยู่ได้จริงแบบร่วมสมัยมากขึ้นโดยไม่ทิ้ง spirit ของเดิมครับ อันนี้ด้านข้างของตัวบ้าน
ด้านหน้าครับ ชั้นใต้ถุนก็ปรับไว้จอดรถได้
ตัวอย่างรูปครับอันนี้ทางเข้าเขตสงฆ์ วัด มหรรนพ สร้างในปีไล่ๆกันครับ สมัยที่งานสถาปัตย์เริ่มเปลี่ยนสู้ความเป็นตะวันตก
อันนี้อีกหลัง อยู่ตรงข้างกันในซอย ถ่ายจากระเบียงบ้าน สภาพยังดีอยู่มากเพราะไม่เคยถูกต่อเติมเลย ลูกหลานก็รักษาไว้ดีมากครับ
ส่วนอันนี้ ขนาดย่อมลงมาหน่อย ถ้าดูใกล้ๆก็จะรู้ว่าห้องด้านซ้ายถูกต่อเติมออกมาทีหลัง เดิมตัวบ้านน่าจะได้สัดส่วนและลวดลายกว่านี้ แต่ปัจจุบันถูกใช้เป็นบ้านเช่าครับ หลายๆหลังจะถูกต่อเติมแบบนี้เพราะเน้นประโยชน์ ใช้สอยมาก่อน
ขออนุญาติชี้แจง ข้อสงสัยของหลายๆท่านนะครับ ตัวบ้านอยู่ฝั่งตรอกศิลป์ นะครับ ไม่ได้อยู่ทางร้านศรแดง ฝั่งทางร้านศรแดงมีเหลืออยู่น้อยครับ ประมานแค่ สอง สามหลัง เท่าที่เห็น แต่ซุ้มประตูของบางหลังนี้สวยมาก บ้านยุคนี้ส่วนใหญ่นิยมทำซุ้มประตูเข้าบ้านครับ แค่มาเดินดูก็มีความสุขแล้ว
ถ้าจะเอาประวัติบ้านจริงๆ ตัวบ้านเดิมมีพื้นที่กว้างมากนะครับ ประมาน 77 ตารางวา แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาตัวโฉนดถูกซอยขายไปสองครั้งครับ คาดว่าลูกหลานคงนำไปแบ่งกัน และอีกส่วนหนึ่งยกเป็นทางสาธารณะไปครับ เพื่อให้คนท้ายซอยสามารถสัญจรได้ หลังจากที่เราเลิกใช้คลองกันไปแล้ว สภาพพื้นที่ที่เหลืออยู่ในตอนนี้จึงเป็นอย่างที่เห็นครับ บางบ้านลูกหลานพอไหวก็ไม่ได้แบ่งขาย บางบ้านก็เลือกที่จะแบ่งขายไปครับ
หลังจากผ่านไปประมานแปดเดือน ก็เริ่มขนเฟอร์เข้าครับ เน้นไปทางสไตล์ Colonial หลายๆชิ้นเป็นงานเดิมที่ได้มากับตัวบ้านตอนซื้อ บางชิ้นก็ซื้อเข้ามาใหม่ครับห้องนั่งเล่นด้านล่าง
พยายามรักษาความขรึมไว้ครับ แล้วไปเล่นสีที่พวกผ้า พวกปลอกหมอนแทนเพื่อไม่ให้มันดูโบราณอุดอู้จนเกินไป สีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยให้สดชื่นขึ้นมาได้ ลงตัวกับความเข้มของสีไม้ดี
โอ๊ะลืมบอกไป ตอนซ่อมบ้านและขุดดินแถว บ้านก็เจอเหรียญพวกนี้ครับ ฝังอยู่โคนเสาต้นที่ผุแล้วเราเปลี่ยนใหม่ชุดนี้พร้อมแหวนอยู่ใต้เสากลางๆบ้านครับ ใครพอจะรู้เรื่องแหวนพระลองดูให้ทีครับว่าเป็นของที่ไหน
ส่วนห้องนอนห้องอื่นๆก็ตกแต่ง ประมานนี้ครับ
อันนี้ห้องนอนครับ
อันนี้ห้องนอนใหญ่
อันนี้มุมระเบียงหน้าบ้านครับ เอาไว้นั่งคุยกับเพื่อนบ้านได้ คุยข้ามหลังกันเนี่ยแหละครับ มันเป็นวิถีของคนแถวนี้ ฝากซื้อของหน้าปากซอยก็ได้ สั่งอาหารตามสั่งกลางซอยก็ได้ อยู่กันแบบญาติๆครับ แปลกดี ใครที่นึกว่าเมืองไทยแบบสมัยก่อนหายไปไหน จริงๆมันก็อยู่เงียบๆแบบนี้มานานแล้วนะครับ เมื่อก่อนนึกว่าซอยนี้จะน่ากลัว ที่ไหนได้ ยังกับอยู่ตามต่างจังหวัด อยู่เป็นชุมชนครับ ถ้าถามว่าให้เลือกอยู่ที่ไหนในกทม ก็ยังได้คำตอบเดิมครับว่า เกาะรัตนโกสิทร์
เสียดายที่หลายๆส่วนของเกาะนี้ทรุดโทรมลงไปมาก ไม่เหมือนเมืองเก่าของเชียงใหม่ที่เดี๋ยวนี้ Chic มากๆทั้งๆที่จริงๆแล้วกายภาพวัดวาอาราม ไม่แพ้กันเลยนะครับ
แต่ตอนเรามาซ่อมก็คืนสภาพเดิมให้กับตัวบ้านก่อนต่อเติมครับ ของเดิมถูกตีทึบไปหมดแล้ว แต่บ้านไม้มักสังเกตุได้ง่ายว่า ส่วนไหนเก่า ส่วนไหนใหม่ เพราะรอยต่อและเนื้อไม้ที่ต่างกันมันจะฟ้อง ไม่เหมือนปูนครับ ฉาบทับ ทาสีใหม่ก็บอกยากแล้ว
รูปข้างล่างนี้ ผมทำราวคืนให้กับช่องประตูครับ ใครเคยมีบ้านโบราณจะพอทราบว่า สมัยก่อนเขานิยมทำหน้าต่างยาวลงถึงพื้น แล้วทำราวกันตกเอา หลายๆหลังแถวนี้ก็ทำกันครับ กึ่งประตูกึ่งหน้าต่าง
หลายท่านถามหลังไมค์มาถึงสถานที่ล่าสมบัติที่เอามาแต่งบ้านนะครับ จะแจงให้ตามนี้นะครับวิทยุแบบทางซ้ายมือไปได้มาจากสนามหลวง 2 ครับ ราคาหลักหมื่นต้นๆ ของเก่า 50 ปีจากเยอรมัน ยังเล่นได้เล่นแผ่นเสียงได้
-เปียนโนก็. Yamaha ทั่วไป
-ตู้หนังสือไม้สักตรงกลางรูปแนว Art and Craft นี้มากับบ้านครับ เจ้าของแถมให้ ตีราคาไม่ถูก
-โซฟา chesterfield หนังแท้หนึ่งที่นั่ง เอามาจากอังกฤษครับ ราคาหมื่นต้นๆ
-หีบสมบัติเงาๆกลางรูป งานเยอรมัน ได้มาจาก สนามหลวงสอง 5000 บาท พี่คนขายใจดีครับ
-ชุดหมากรุก ซื้อจากร้าน เรือนแก้ว แยกนครชัยศรี ราคา ประมานพันต้นๆ
-ฉากกั้นหวายสีขาวๆหลังเปียโน จาก chic republic หลายปีแล้วตอนลดราคาเก้าพันได้มั้ง
-เก้าอี้ director chair หนังแท้สีดำจากร้านเนือนแก้วครับ ตัวละ 5000
-เฟอร์ไม้สัก พวกเตียงนอน โต๊ะเขียนหนังสือ สั่งจากแพร่ครับ แบบและสีเรากำหนดได้ เขามาส่งถึงบ้านราคาถูกกว่า กทม มากอยู่ ขายตาม facebook ก็มี
-คร่าวๆก็ประมานนี้ครับ ส่วนใหญ่ซื้อสะสมไว้ก่อนครับ จะใช้แล้วไปซื้อเลยนี้บางทีเร่งเลือกของมากเกินไป ได้ของไม่ถูกใจจริงอีก
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการตกแต่งบ้านได้น่าอยู่มากๆ โดยเฉพราะระเบียงที่ร่มรื่นยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลงทุกตำแหน่งยังอยู่ในความทรงจำดีๆตลอดไป
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.in.th ขอขอบคุณที่มา : สมาชิกหมายเลข 1415794