อนุทิน จัดระบบผู้ป่วยสามารถรับยาที่ร้านยานำร่องได้ เริ่ม1ต.ค.นี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ สปสช.วาระพิเศษ เผย 3 ทางเลือกจัดระบบ “ผู้ป่วยรับยาร้านยาคุณภาพ”ลดปัญหารอคิวนาน นำร่อง รพ. 50 แห่ง ร้านยาคุณภาพ 500 แห่ง หารือ สธ. สภาเภสัชฯ เพิ่ม เตรียมเสนอบอร์ด สปสช. ก.ย. นี้ คาดเริ่ม 1 ต.ค. ทั่วประเทศ ย้ำไม่บังคับให้ทุก รพ.ทำ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ป่วยและ รพ.
นายอนุทิน กล่าวว่า จากที่ได้มอบนโยบายในการประชุมบอร์ด สปสช.เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2562 ในการจัดบริการเพื่อให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยาคุณภาพ ที่ผ่านมา สปสช. ได้เร่งดำเนินการหารือกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสธ. และสภาเภสัชกรรม เพื่อวางแนวทางในการดำเนินการ มีข้อสรุปเบื้องต้น จะนำร่องในโรงพยาบาล 50 แห่ง และร้านยาคุณภาพ 500 แห่ง ทั่วประเทศ จำกัดการจ่ายยาเฉพาะ 4 โรค ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด และจิตเวช ซึ่งเป็นกลุ่มโรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยต้องได้รับยาต่อเนื่อง รวมจำนวนอยู่ที่ร้อยละ 40 ของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม
ส่วนการดำเนินการได้ออกแบบไว้ 3 ทางเลือก ดังนี้
1. คือโรงพยาบาลเป็นผู้จัดยาและส่งยาไปที่ร้านยาคุณภาพเพื่อจ่ายยาให้กับผู้ป่วย ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ รพ.ศิริราชดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สามารถลดความแออัดใน รพ.ได้ แต่ไม่ลดภาระงาน ทางเลือกที่
2. คือ นำยาไปสำรองไว้ที่ร้านยาคุณภาพ และให้เภสัชกรร้านยาเป็นผู้จัดยาตามใบสั่งแพทย์ เสมือนเป็นห้องจ่ายยาย่อยของ รพ. ที่ต้องมีระบบจัดการคลังยา และทางเลือกที่
3. คือร้านยาคุณภาพเป็นผู้จัดซื้อยาและสำรองยาในการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยเอง โดย รพ.เป็นผู้ตามจ่ายค่ายาให้ร้านยาคุณภาพ อย่างไรก็ตามในการดำเนินการจะมีการดูแลค่าใช้จ่ายบริหารจัดการของโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายของร้านยาคุณภาพในการจัดส่งยาให้กับผู้ป่วยที่จะจัดเพิ่มขึ้น
โดยที่ประชุมจะมีการหารือเพื่อร่วมหาข้อสรุปอีกครั้งว่าจะเลือกแนวทางใด และจะนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ด สปสช.วันที่ 2 กันยายน 2562 เพื่อเดินหน้า คาดว่าจะเริ่มได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 นี้ นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้หารือประเด็นด้านระเบียบหรือ กฎหมายที่อาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงาน และจะมีการแก้ไขให้สามารถดำเนินการได้
“เรื่องนี้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความมั่นใจของผู้ป่วยต่อยาที่ได้รับจากร้านยาคุณภาพ จะต้องเป็นยาตัวเดียวกันเหมือนกับที่ได้รับจากโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ป่วยได้ ส่วนกรณีหากจำเป็นต้องเปลี่ยนยาต้องเป็นการสั่งเปลี่ยนจากหมอหรือโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่ใช่ร้านยาเปลี่ยนเอง และเมื่อระบบนี้เดินไปจุดหนึ่งเชื่อว่าจะมีร้านขายยาคุณภาพเข้าร่วมเพิ่มเติม” รมว.สาธารณสุข กล่าว
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.in.th