13 กฎเหล็กระบบควบคุมต้นทุนก่อสร้าง ผู้รับเหมา ต้องรู้
เมื่อคุณเป็นผู้รับเหมา คุณมีงานมีลูกค้ามีทีมงานแล้ว จะมีส่วนหนึ่งที่สำคัญและยากที่สุดเรื่องนึงก็คือ "เรื่องตัวเลข"หรือ "ต้นทุนในการก่อสร้าง" ต้องยอมรับว่างานรับเหมาเราเป็นธุรกิจที่มี "ความเสี่ยงสูงมาก"เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น
เนื่องจากมูลค่างานก็ดี ความเสี่ยงต่างๆ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆมากมาย ทั้งปัญหาแรงงาน อุปสรรคหน้างาน จึงทำให้เราต้องวางแผนเรื่องต้นทุนและเรื่องการเงินให้ดีที่สุด
อาจจะเปรียบได้ว่าเรื่องต้นทุนหรือเรื่องการเงินนั้น เปรียบเสมือน "ฐานรากของธุรกิจรับเหมา"ที่ไม่ว่าบ้านคุณออกแบบมาสวยแค่ไหนแต่ถ้าเรื่องต้นทุนของคุณมีปัญหาหรือไม่แข็งแรงแล้ว มันอาจจะทำให้บ้านคุณล้มลงมาได้ทุกเมื่อ
วันนี้ kaijeaw.in.th ขอยกตัวอย่าง "ต้นทุนก่อสร้าง" เป็นบ้าน คสล. 2ชั้นทั่วไปเพื่อให้เพื่อนๆได้เข้าใจได้ง่ายๆ กันครับ
1. ต้นทุนโครงสร้าง
ต้นทุนงานโครงสร้างปกติไม่ควรเกิน 25-30%โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 28% ขึ้นอยู่กับแบบก่อสร้างที่มีรูปแบบบ้าน ขนาดของบ้าน จำนวนชั้น และที่สำคัญขึ้นอยู่แบบวิศวกรรมที่มีเหล็กเสริมหรือคอนกรีตที่แตกต่างกัน
ต้นทุนโครงสร้างนี้ ปกติก็จะรวมถึงงานเสาเข็มด้วย %ต้นทุนนี้ก็ขึ้นอยู่กับจำนวน ขนาด และชนิดของเสาเข็มตามที่แบบวิศวกรรมกำหนดไว้
บ้านบางหลังมีโครงสร้างลิฟท์ มีโครงสร้างคานหลังคาเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3ชั้นอาจจะทำให้ต้นทุนโครงสร้างขึ้นมาที่ 30-35% ได้
การทำงานโครงสร้างนี้เนื่องจากเป็นต้นทุนก้อนที่ใหญ่ที่สุด คุณก็ต้องให้ความใส่ใจมากที่สุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นในแต่ละขั้นตอนจึงจำเป็นต้องมีผู้ควบคุมงานหรือวิศวกรควบคุมและตรวจสอบให้ดี
เพราะถ้าผิดพลาด มีการแก้ไขส่วนนี้ ค่าใช้จ่ายก็จะค่อนข้างสูงไปด้วยและที่สำคัญเนื่องจากขั้นตอนการทำโครงสร้างเป็นขั้นตอนแรกสุด ถ้าทำไม่ดีแน่นอนว่า มันจะกระทบงานในขั้นตอนต่อไปทั้งหมด ถ้าไม่ต้องควบคุมส่วนนี้ให้ได้มาตรฐานแล้ว ทำให้ต้นทุนบานปลายหรือกำไรไม่เหลือเป็นได้
2. ต้นทุนงานผนังและงานตกแต่งผนัง
ต้นทุนงานผนังก็จะเป็นต้นทุนก้อนใหญ่รองลงมาจากงานโครงสร้าง ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ที่ 13-18% โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ขึ้นอยู่กับแบบก่อสร้างโครงการนั้นๆ ว่ามีฟังชั่นอะไร ใช้วัสดุอะไร
ต้นทุนงานผนังก็จะมีตั้งแต่ งานก่ออิฐ งานเสาเอ็น งานทับหลัง งานจับเซี้ยม และงานฉาบปูน เป็นต้น
ต้นทุนส่วนนี้นอกจากขึ้นอยู่กับแบบแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับ คุณภาพงานความปราณีตของงานของผู้รับเหมาหรือแต่ละบริษัทที่มีมาตรฐานที่แตกต่างกันด้วย
3. ต้นทุนงานหลังคา
ต้นทุนงานหลังคาโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 5-10%โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ขึ้นอยู่กับรูปแบบของหลังคา ไม่ว่าจะเป็นทรงปั้นหยาหรือหลังคาเพิงหมาแหงน ก็จะมีต้นทุนที่แตกต่างกัน และที่สำคัญคือวัสดุของโครงหลังคาและวัสดุมุงหลังคาก็ต้องระบุให้ชัดเจนด้วย
บางโครงการ %ต้นทุนหลังคานี้ ก็จะต่ำลงมา เนื่องจากมีงานโครงสร้างหลังคา คสล. ตามผู้ออกแบบเป็นต้น
4. ต้นทุนงานพื้นและตกแต่งพื้น
ต้นทุนส่วนนี้ส่วนมากจะคำนวณกันเป็นต่อตารางเมตร โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 8-13% ทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
จะมีตั้งแต่งานปรับระดับพื้น ปูนขัดหยาบ ปูนขัดมัน งานปูกระเบื้อง งานปูลามิเนต หรือปูปาเก้แล้วแต่ผุ้ออกแบบและเจ้าของบ้าน ซึ่งวัสดุและสเปคที่ตกลงกันต้องมีการเผื่ออัตราการสิ้นเปลือง (%Yield) ให้ดี
เพราะราคาวัสดุพวกนี้ส่วนมากจะมีราคาจะค่อนข้างสูง เช่นกระเบื้องบางชนิดสั่งน้อยไปก็ไม่พอหรือสั่งมากไปก็เหลือใช้งานอื่นต่อไปไม่ได้
5. ต้นทุนงานฝ้าเพดาน
ต้นทุนงานฝ้าเพดานโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 3-8% ทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 5 %
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านเราสมัยนี้ก็จะนิยมฝ้าฉาบเรียบที่เป็นยิปซั่ม ส่วนในห้องน้ำก็จะเป็นฝ้ายิปซั่มกันชื้น ส่วนภายนอกก็จะนิยมเป็นสมาร์ทบอร์ดหรือระแนงไม้
หรือมีบางส่วนที่ผู้ออกแบบหรือเจ้าของบ้านไม่ต้องการปิดฝ้าที่เป็นงานโชว์ท้องพื้นเลย ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็ต้องมีการวางแผนการควบคุมตอนที่วางแผ่นพื้นให้ดีตั้งแต่แรกและทำการเก็บรายละเอียดให้เรียบร้อย
6. ต้นทุนงานประตูหน้าต่าง
ต้นทุนงานประตูหน้าต่างโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 8-13%โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ บ้านเรานิยมใช้ประตูหน้าต่างที่เป็นงานอลูมิเนียมค่อนข้างมาก ยกเว้นส่วนหลักๆ เช่น ประตูเข้าบ้าน ประตูห้องน้ำ หรือประตูห้องนอน ที่ส่วนมากก็จะมีเป็นประตูไม้กรุลามิเนต หรือ ประตู WPC (Wood Plastic Composite) เป็นต้น
ควรระบุราคาประตูหน้าต่างไปในแบบ ในรายการวัสดุหรือ BOQ ไปเลยว่าบานแต่ละบานราคาเท่าไหร่
ผมเคยเจอมาแล้วว่าในแบบระบุเป็นบานประตูไม้จริง(ไม้เนื้อแข็ง) ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท ทำให้อาจจะมีปัญหากันภายหลังได้
7. ต้นทุนงานบันได
ต้นทุนงานบันไดโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 1-5% โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 3%
ขึ้นอยู่กับแบบว่าเป็นบันไดคอนกรีตเสริมเหล็กหรือบันไดโครงสร้างเหล็ก และวัสดุลูกตั้งลูกนอนเป็นอะไร
รวมถึงงาน ราวบันไดว่าเป็นเหล็ก เป็นสแตนเลส หรือกระจกเทมเปอร์ ก็ควรมีการ ระบุในแบบในรายการวัสดุหรือ BOQ ให้ชัดเจนด้วย
8. ต้นทุนงานสี
ต้นทุนงานสีโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 3-8%โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 5%
ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า ก่อนที่เราจะทาสีจะต้องมีการฉาบบางหรือสกิมโค้ทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เพราะการฉาบบางทำให้งานออกมาเรียบเนียนสวย แต่ก็แลกมาด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 100 บาทต้นๆต่อตารางเมตรคร่าวๆคือเพื่มมาอีกประมาณ 1%
ส่วนต้นทุนสีก็ขึ้นอยู่กับสเปคและยี่ห้อที่มีราคาที่แตกต่างกัน ก็ต้องระบุให้ชัดเจน
ในการทำงานทาสี ควรมีการวางแผนในแต่ละขั้นตอนการทาสีให้ดี เพราะการลงสีมันคือขั้นตอนสุดท้ายถ้ามีแก้ไข ถ้ามีทาซ้ำอาจจะต้องทาใหม่ทั้งผืน หรือทำงานซ้ำซ้อนหลายรอบจนต้นทุนบานปลายได้
9. ต้นทุนงานไฟฟ้า
ต้นทุนงานไฟฟ้าโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 3-8%
โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 5%
งานระบบไฟฟ้าขึ้นอยู่แบบและมาตรฐานที่ระบุว่าใช้สายขนาดเท่าไหร่ สายไฟยี่ห้อไหน เดินสายไฟแบบไหน จะมีสวิตซ์ มีเต้ารับ มีโคมไฟกี่จุด ก็ต้องมีสเปคมีราคาให้ชัดเจน
รวมถึงงานระบบงานสื่อสารภายในบ้านด้วยว่าว่าจะเป็นระบบทีวีแบบไหน สายโทรศัพท์ยังใช้มั้ย ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างไร
และที่สำคัญคือสายเมนไฟฟ้าที่เดินเข้าบ้าน ก็ขึ้นอยู่กับระยะสายเมน จำนวนเฟสของการใช้งาน ขนาดสายจำนวนสายก็ต่างกัน รวมถึงตู้เมนไฟระบบเบรคเกอร์ระบบการดูดต่างๆ ด้วยเพราะต้นทุนส่วนนี้จะค่อนข้างสูง
10. ต้นทุนงานประปาและสุขาภิบาล
งานประปาและระบบสุขาภิบาลหมายถึงงานท่อประปาที่เป็นทั้งน้ำดีและท่อน้ำทิ้งภายในอาคารและภายนอกอาคารทั้งหมด
ต้นทุนงานประปาและสุขาภิบาลโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 3-8% โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ขึ้นอยู่กับจำนวนห้องน้ำ จุดใช้น้ำ และส่วนภายนอก ก็ต้องเช็คระยะของตัวบ้านจนถึงท่อน้ำสาธารณะให้ดีเช่นกัน
ระบบสุขาภิบาลภายนอกก็ต้องดูว่าจะใช้ถังบำบัด(ถังแซท)ขนาดเท่าไหร่ สปคไหน ยี่ห้อไหน ท่อระบายน้ำหรือท่อใยหินขนาดเท่าไหร่ ระยะพักตามแบบกี่จุด และควรมีการตกลงส่วนถังเก็บน้ำหรือปั๊มน้ำอย่างไรให้ชัดเจนด้วย
11.ต้นทุนงานสุขภัณฑ์
ต้นทุนงานสุขภัณฑ์โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 1-3% โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 2%
ต้นทุนสุขภัณฑ์ ควรระบุให้ชัดเจนเลยว่า ให้ราคาเท่าไหร่ มีอะไรบ้าง
ต้องยอมรับว่าส่วนนี้ส่วนมากสมัยนี้ลูกค้า ก็จะเลือกเอง เพราะมีความชอบส่วนบุคคล ถ้าสูงกว่าราคาที่ตั้งไว้ก็สามารถบวกลบกันได้ภายหลัง
12. งานเบ็ดเตล็ด
ต้นทุนงานเบ็ดเตล็ดโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 1-5% โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 3%
ต้นทุนงานเบ็ดเตล็ดส่วนมากจะนิยมแยกออกมาเพื่อจะให้ต้นทุนส่วนอื่นชัดเจนส่วนมากจะเป็นงานตกแต่งภายนอกอาคารเช่น งานระแนงเหล็ก ระแนงบังตา หรือบัวปูนปั้น ตามแบบก่อสร้างที่ออกแบบมา
13. ต้นทุนงานเตรียมการ
ต้นทุนงานเตรียมการโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 1-5% โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 3%
ต้นทุนงานเตรียมการเป็นอะไรได้บ้างก็จะมีตั้งแต่ บ้านพักคนงาน ถ้าหน้างานไม่มีที่พัก หรือไม่สามารถปลูกบ้านพักงานได้ก็ต้องเช่าบ้าน หรือเช่าที่ปลูกบ้านพักคนงาน
ค่าเครื่องจักร ค่าไฟฟ้า,ประปา,ค่าขนขยะในการทำงานก่อสร้าง ค่าทำความสะอาด รวมถึงค่าอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นในไซต์งานของเรา
บางทีหลายคนก็ใส่ค่าใช้จ่ายในการวางหมุดวางผังตอนงานเสาเข็มเอาไว้ในนี้ด้วย เป็นต้น
ต้นทุนนี้ก็จะขึ้นอยู่กับสภาพหน้างาน หรือแม้ปัจจัยของขนาดอาคารก็มีผล เช่นอาคารใหญ่ก็จะมีต้นทุนส่วนนี้ค่อนข้างสูงเพราะต้องมีทั้งอุปกรณ์ในการป้องกัน และค่าเครื่องจักรที่ใช้มากกว่าอาคารที่เป็น 2หรือ3ชั้น เป็นต้น
สุดท้ายคือ "ต้นทุนค่าดำเนินการ"หรือ "Overhead Cost" ส่วนใหญ่งานรับเหมาก่อสร้างเราจะแยกออกมา เพราะว่าแต่ละผู้รับเหมาแต่ละบริษัท ก็จะมีการบริหารจัดการที่แตกต่างกันการทำงานที่ไม่เหมือนกัน
ต้นทุนค่าดำเนินการ หรือ Overhead Costเป็นอะไรได้บ้าง?...ค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟออฟฟิศ ค่าโทรศัพท์ ค่าเอกสาร ค่าการตลาด ค่าเดินทาง เงินเดือนพนักงานโบนัสด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิกวิศวกร โฟร์แมน และอย่าลืมใส่ค่าเงินเดือนผู้บริหารไปด้วย
ค่าของใช้สิ้นเปลืองสำนักงาน ค่าดูแลเครื่องมือเครื่องจักร ค่าบริการลูกค้า ค่าจ้างพนักงานบัญชีถ้ามีนักกฎหมายก็ใส่ไป ค่าธรรมเนียมต่างๆ พวกนี้และล้วนแต่เป็นค่าดำเนินการทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างแต่ละผู้รับเหมาแต่ละบริษัท
ส่วนมากต้นทุน Overhead ก็จะบวกเพิ่มจากต้นทุนทั้งหมดที่ 10% และกำไร 5-10% หรือบางคนก็จะบวกรวมไปกับกำไรเลยอยู่ที่ 15-20%แล้วแต่ความเหมาะสม
ก็ไม่ได้มีสูตรตายตัวว่าแต่ละงานควรมีต้นทุนส่วนนี้เท่าไหร่หรือไม่ควรเกินเท่าไหร่ เพราะตราบใดที่บรรทัดสุดท้ายยังเป็นไปตามที่คุณต้องการ
การวิเคราะห์ต้นทุนและการวางแผนต้นทุนนั้นเป็นการบอกได้ว่างานที่คุณจะทำนั้นจะมีรายรับเท่าไหร่ และรายจ่ายเท่าไหร่ ต้องคุมต้นทุนเท่าไหร่ จะสามารถคาดการณ์ได้
ที่สำคัญไม่มีหนังสือเล่มไหนบอกว่าการมาเป็นผู้รับเหมา แต่ละประเภท มีโครงสร้างต้นทุนเท่าไหร่ เพราะแต่ละงานแต่ละรูปแบบ แต่ละขนาดที่แตกต่างกัน ก็จะมีโครงสร้างต้นทุนที่แตกต่างกัน
ฉนั้นการทำรับเหมาที่ดี คุณต้องทำการวิเคราะห์ "cost structure"หรือโครงสร้างต้นทุนงานของคุณ
สิ่งที่คุณควรรู้ก็คือ ค่าเฉลี่ยต้นทุนของผู้รับเหมาในตลาด ที่ทำงานคล้ายๆคุณว่าเขาทำกันอยู่กี่ % แล้วไม่ควรเกินกี่ % เพราะถ้าคุณรู้พวกนี้ คุณจะรู้เลยว่าโครงการนี้ ดีหรือไม่ดีตรงไหนและควรปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.in.th ขอขอบคุณที่มา : ผู้รับเหมาพันธุ์ใหม่ Contrepreneur