หนุ่มซื้อบ้านอยู่กับครอบครัว แต่ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อพ่อตาเข้ามาอยู่ด้วย
คุณ สมาชิกหมายเลข 1909754 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปได้ออกมาตั้งกระทู้เล่าว่า 'ผมผิดไหมที่คิดอยากได้ความเป็นส่วนตัว ในบ้านที่ตัวเองซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง' ผมอยากขอคำปรึกษาครับ ผมผิดไหมที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวของบ้านที่ตัวเองซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
ผมอยู่ในวัยทำงานเริ่มต้นที่จะซื้อบ้านของตัวเอง จากที่แต่งงานมีครอบครัว มีลูกชาย 1 คน เริ่มแรกอยู่ด้วยกันกับบ้านพ่อตาแม่ยาย เพราะเค้าแค่เพียง 2 คนและไม่มีใครอยู่ด้วย เลยอยู่ด้วยกันประมาณ 2 ปี จนเริ่มทำงานมีความมั่นคง และมีเงินเก็บพอจะซื้อบ้านได้ จึงได้คิดกันว่าจะซื้อบ้านใหม่และแยกตัวออกมาอยู่ เพราะอยากให้ลูกได้อยู่ในสังคมใหม่ๆที่ดีต่อตัวเค้าเองในอนาคต (ที่เดิมละแวกบ้าน มีทั้งคนอันธพาลและติดยาหลายคน) และ หมู่บ้านที่ซื้อมาใหม่ ก็อยู่ไม่ไกลจากที่เดิมครับ ห่างประมาณ 2-3 กิโล แต่สังคมและสภาพแวดล้อมดีกว่าที่เดิมมาก
จากนั้นเราก็มาอยู่บ้านใหม่ได้ประมาณ 2-3 ปี ก็ยังคงไปๆมาๆบ้านเก่า และยังคงดูแลพ่อแม่แฟนตามปกติที่เคยเป็น ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซีวิตเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นทุกอย่าง จนมาช่วงนึงผมประสบปัญหากับบริษัทเดิมมั่นคงที่ทำอยู่ เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจถดถอยลง ทางบริษัทได้มีนโยบายปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร เพื่อลดขนาดองค์กร บริษัทได้ปรับโยกย้ายทีมผู้บริหารบางตำแหน่งซึ่งรวมถึง หัวหน้าฝ่ายบริหารโดยตรงที่ผมรับผิดชอบในงานนี้ด้วย ทำให้ได้รับผลกระทบพอสมควร ในเรื่องของลดฐานเงินเดือนในช่วงแรกๆ และค่อยๆเริ่มระดับไปเรื่อยๆจนถึงการจ่ายเงินเดือนไม่ตรงงวด และค้างการจ่ายเงินเดือน ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งบริษัท ช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างเครียดมาก กับภาระปัญหาที่ต้องรับผิดชอบหลายๆอย่าง ทั้งบ้าน รถและค่าใช้จ่ายต่างๆ ฯลฯที่ต้องประหยัดขึ้นกว่าเดิมมากๆ
ช่วงก่อนหน้านี้ ลูกชายผมซึ่งเพิ่งเรียนอยู่ชั้นป.1 และอยู่ในช่วงปิดเทอม ต้องอยู่บ้านคนเดียว แฟนจึงได้ขอร้องให้พ่อตามาอยู่เป็นเพื่อนลูกชายด้วย ช่วงแรกก็ปกติ ไม่มีอะไรครับ บ้านผมมี 4 ห้องนอน มีเตียง เฟอร์ ครบทุกห้องนอน ก็จัดห้องนอนให้แกพัก ห้องนึงที่สบายๆ อยู่ด้านล่าง (เพราะเดินไปมาสะดวก) เช้ามาแกบ่นว่านอนไม่หลับปวดหลัง เพราะเตียงทุกเตียงจะนิ่มพิเศษ (เตียงกับที่นอน พี่สาวส่งใส่ตู้คอนเทนเนอร์มาให้จากต่างประเทศ ลักษณะจะเหมือนมีหัวเตียง ที่นอนแบบผ้าคลุม คล้ายๆเหมือนที่โรงแรมทั่วไป)มีเพียงห้องนอนใหญ่ห้องนอนเดียวชั้นบนที่เตียงซื้อมาเอง ที่ผมและลูกนอนกับแฟนจะแข็งนิดหน่อย เลยเสียสละห้องนอนนั้นให้พ่อตาได้ใช้นอน โดยผมกับแฟนและลูกย้ายไปนอนอีกห้องนึง
จากนั้นเหตุการณ์ก็ปกติ จนผ่านไปได้ 3 เดือนกว่าในช่วงที่ลูกชายใกล้จะเปิดเทอม เริ่มสังเกตเห็น ของในบ้านถูกจัดย้ายไปวางหลายที่ เช่น แจกันใหญ่ที่วางบนโต๊ะ แกก็ย้ายไปวาง ตรงช้นบันใด แกบอกมันสวยกว่า ของในห้องครัวที่เคยจัดวางเป็นระเบียบก็อยู่นำออกมาวางระเกะระกะเต็มไปหมด ผมเป็นคนนึงที่อยากเห็นของวางเป็นระเบียบทุกที่ เมือของใช้เสร็จแล้ว และค่อนข้างจะรักษาของและรักษาความสะอาดตลอดเพราะอยากรักษาของให้สามารถใช้ต่อไปได้นานๆ เมื่อเห็นแบบนั้นจึงช่วยนำกลับมาจัดเก็บให้เป็นที่เป็นและนำมาวางเข้าตู้ให้เรียบร้อยทุกครั้ง
พ่อตาอยากช่วยทำกับข้าวไว้ให้เวลาถึงบ้าน แต่เนื่องจากแกก็เป็นทั้งโรคไต เบาหวาน ความดัน ฯลฯ จึงไม่สามารถทานอาหารรสจัดๆได้ ซึ่งจะเหมือนผมกับแฟนที่เราไม่ค่อยชอบทานน้ำมันเยอะ ใส่ผงชูรส และปรุงอาหารรสจัด เข่นเค็มไป หวานไป แต่พ่อตาเมื่อทำอาหารให้เราทาน (รวมทั้งตัวแกเองก็ทานด้วย)
แกปรุงอาหารแบบใส่เครื่องปรุงเต็มที่ทั้งเค็มจัด น้ำมันเยอะ หวานจัด ที่นี้ทางบ้านเราก็ทานไม่ได้ก็ต้องทิ้งตลอด เลยแนะนำแกว่าไม่ต้องทำเยอะหรือทำเผื่อถ้าอยากทานเดี๋ยวหาทานหรือทำเอง ถ้าเหลือเยอะเกินจะได้ไม่ต้องเหลือทิ้ง แกก็เหมือนฟังๆรับปาก แต่ก็ยังเหมือนเดิมทุกวัน คือ ทำอาหารแบบเต็มที่ทุกวัน บางวันเราพยายามทานก็ทานไม่ได้ มันก็จะเหลือ สุดท้ายก็ทิ้ง บ่อยๆที่แกนำมาอุ่นใหม่ และนำให้เราทานใหม่ตอนเช้า ให้เหตุผลว่าเสียดายของ ซึ่งเราก็คิดแตกต่างกัน คือถ้ากินต่อไปอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพของเราเอง รวมทั้งพ่อ(ตา) ด้วย ให้ทิ้งได้เลย และทำไม่ต้องเยอะ เพราะอยู่กันแค่ 3 คน (แกจะชอบทำหม้อใหญ่ ผัดเต็มกระทะใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เหลือและทิ้ง โดยบางครั้งผมกับแฟนกลับมาก็เคยลองพยายามช่วยกินแต่ก็ไม่ไหวอยู่ดีเพราะรสชาติจัดมาก เค็มจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด เคยพยายามบอกแล้วก็ไม่เป็นผล ทำให้ของที่ปกติซื้อมาสามารถใช้ทานได้เป็นอาทิตย์ เข่นไข่ 1 แผงใหญ่ ปกติกินกัน 3 คนเกือบจะ 2 อาทิตย์ถึงจะซื้อเติมใหม่ แต่ตั้งแต่พ่อตามาช่วยทำกับข้าว แค่ 3 วันก็หมดแผง (รวมทั้งหมู ไก่ ผัก อาหารต่างๆที่เราพยายามซื้อมาเติมไว้ตลอดทั้งอาทิตย์) ผมไม่ได้ถึงกับเสียดายของจนมากไป แต่แค่เสียดายที่ทำแล้ว ทานไม่ได้ก็ต้องเหลือทิ้งทุกวัน กับสภาวะเศรษฐกิจที่เราต้องช่วยกันประหยัดแบบนี้ บางอาทิตย์ก็ทำข้าวผัดให้ลูกชายผมทานทุกวันเช้า เย็น ทั้งอาทิตย์ เพราะแกคิดว่าหลานคงชอบ จนลูกชายผมไม่ทาน ก็ต้องทิ้ง ผมเลยบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกับแฟนทำให้ลูกทานเองพ่อจะได้ไม่ลำบาก หลังๆลูกชายจะชอบทานขนมปังทาเนยกับโกโก้ทุกเช้า เราเลยซื้อขนมปังกับทุกอย่างเตรียมไว้ให้ เหมือนเดิมแกตื่นขึ้นมาตอนเช้าตี 4 ปิ้งขนมปังหลายๆชิ้นทำใส่กล่องไว้ให้หลาน หลานอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ 6นิดๆ พอถึงเวลาจะทานจริงๆขนมปังปิ้งก็แข็ง และเหนียวหนึบไปหมด สุดท้ายก็ทานไม่ได้ ทิ้งอีกตามเคย
จากนั้นก็มีวีรกรรมต่างๆตามมา ยกตัวอย่าง เช่น
- ต้นไม้ที่เราปลูกมารอบๆบ้านเรารักมาก มันกำลังโตและสวยขึ้นงาม ผมกับแฟนจะค่อยๆคัดแต่งให้สวยเป็นพุ่ม แกอยากช่วย รุ่งขึ้นต้นไม้ต้นนั้นรอบๆรั้วอยู่ตัดเรียบทั้งต้น ทั้งยอด แบบไม่เหลือสภาพพุ่มเดิม เรากลับมาเห็นก็ถาม แกก็ตอบว่า อยากช่วยเห็นมันรก เลยช่วยตัด ผมก็อึ้งกับแฟนพูดไม่ออก
- หญ้าที่เราปลูกมากำลังสวยงามมาก แกอยากช่วย แกก็ใช้เครื่องตัดหญ้าของที่บ้านช่วยตัดหญ้าออกให้ กลับมาหญ้าเตียนจนถึงราก เป็นหย่อมๆ เหมือน คล้าย(สุนัขเป็นขนขี้เรื้อน) จนถึงทุกวันนี้ หญ้าที่ถูกตัดออกไปบางที่ ไม่ขึ้นอีกต่อไป
- ของใช้ในบ้าน เช่น กะทะเคลือบเครปล่อน (ไม่ต้องใช้น้ำมัน) แกก็นำมาใช้ทุกครั้งโดยใส่น้ำมันเยอะๆ จนผิวหน้ากระทะพังไป 2-3 ใบ
- ใช้รีโมททีวีจนพัง, พยายามเปิดใช้สมารทฺทีวี (เราเคยสอนวิธีเปิดเข้าช่อง , การปิดต่างๆ)ไปในช่องอื่นๆ เช่น ยูทูป (อันนี้ก็สอนจนเรียบร้อย) บางครั้งเข้าไม่ได้ แกก็ไม่ถาม แต่จะใช้กานพยายามกดเข้าไปหลายๆเมนู เรื่อยๆ ซึ่งแกก็อ่านหนังสือไม่ค่อยเห็น จนโทรทัศน์ ไม่สามารถดูทีวีได้อยู่หลายครั้ง พอถามแก แกก็จะบอกว่าหลาน(ลูกชายผม) เป็นคนกดมั่ว จนทีวีดูไม่ได้ แต่ลูกชายผมค่อนข้างจะเก่งมาก เพราะใช้ทีวีมาตลอดก่อนหน้านี้และจำได้ทุกปุ่ม(เก่งกว่าผมและแฟนมาก) จนผมงงว่าลูกชายเราเป็นแบบนั้นจริงเหรอ จนได้มาเห็นบางวันที่แกใช้งานทีวี จนมันใช้การไม่ได้ถึงรู้สาเหตุที่แท้จริง
- แกพยายามจะวางของที่แกใช้ เช่นเสื้อผ้า เครื่องประดับต่างๆ ของกิน เครื่องปรุงรส ฯลฯ วางปะปน ตามโต๊ะ ตู้ ชั้นล่างเต็มไปหมด จนผมต้องตามมาเก็บและทำความสะอาดทุกครั้ง
- ทุกครั้งที่มีเพื่อนบ้านใหม่ๆมาบ้าน แกจะไปยืนดู ว่าเพื่อนบ้านจะทำอะไร เดินไปไหนและเล่าเรื่องราวต่างๆภายในบ้านให้คนอื่นฟัง ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีในบ้าน เช่น การต่อเติมหลังบ้าน ทำไม่เรียบร้อย ด้านข้างพัง ทำท่อไม่ดี ฯลฯ ทำให้เพื่อนใหม่ๆข้างบ้านบางรายบางครั้งเจอหน้าผมและแฟน ก็หลบๆหลีกเลี่ยง ไม่ค่อยที่อยากจะสนทนาด้วย ทั้งๆที่เมื่อก่อนหน้านี้ ก็ไม่เป็นแบบนี้
- ห้องนอนใหญ่ของเดิมที่ผมเสียสละให้แกนอน(เพราะแกนอนที่นอนอื่นแล้วปวดหลัง) แกก็ไม่ยอมทำอะไร มีของวางระเกะระกะ เต็มห้องไปหมด รวมทั้งเอาโต๊ะและของในห้องที่เรามีอยู่เดิมมาวางทับซ้อนกันไปมา โดยให้เหตุผลว่า ของในห้องนี้มีเยอะไป (ทั้งๆที่ห้องใหญ่กว้างมาก สามารถนอนได้ถึง 7-8 คน)มีฝุ่นจับ ทั้งห้องนอนและห้องน้ำที่ไม่ได้ทำความสะอาดเลย ผมก็เข้าไปช่วยทำให้ความสะอาดและจัดเก็บของใหม่ให้เข้าที่อยู่บ่อยครั้งในช่วงวันหยุด
- ลูกผมจะกลับถึงบ้านตอน 15:00 แกก็จะปล่อยให้เล่นเกมส์ตามใจ ซึ่งผมเคยมีกติกาในบ้านร่วมกันกับลูก คือถ้ากลับมาบ้านให้ทำการบ้านเองให้เรียบร้อยก่อนและรอพ่อแม่กับมาตรวจและจะให้รางวัลคือเล่นเกมส์ได้ 1.30 ต่อวัน เป็นข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งก็เข้าใจกันดีกับลูกมาตลอด และบอกเรื่องนี้กับทางพ่อตาให้ช่วยบอกลูกชายให้ทำตามนี้ แกก็รับฟังแต่ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม ช่วงหลังๆแฟนกลับมาถึงบ้านก่อนช่วงเย็น เห็นลูกนั่งเล่นเกมส์ ไม่ยอมอาบน้ำทำการบ้าน ช่วงหลังๆมาลูกชายก็เริ่มดื้อรั้นขึ้น ไม่ค่อยฟังเหมือนก่อน
- เมื่อเราถึงบ้านแล้ว แกก็จะขึ้นไปนอนที่ห้องเปิดแอร์นอน เปิดทีวีเสียงดังมากจนได้ยินถึงห้องเรา และเปิดทีวีทิ้งไว้ยันเช้าทุกเช้า จนบางครั้งแฟนผมต้องเดินไปปิดให้
- แกจะตื่นนอนตอนตี4-5 ทุกเช้า บ่อยครั้งที่ตื่นมาทำอาหารเสียงสับหมูไก่ หรือไอเสียงดัง ดังขึ้นมาได้ยินถึงในห้องจนผมสะดุ้งตื่น (ห้องที่ผมกับแฟนนอนตรงกับห้องครัวชั้นล่าง) ซึ่งบางครั้งไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ที่เราอยากพักผ่อนนอนตื่นมาสายๆบ้าง
- วันดีคืนดี แกหวังดี ก็เอาโต๊ะหมู่บูชาพระ มาตั้งไว้ให้กลางห้องชั้นบน โดยไม่ได้บอกอะไรเราเลย แค่บอกว่าควรเอาพระมาตั้งตรงนี้ทำให้กราบไหว้ได้ง่าย บางทีก็เอารูปวาดพระที่เราตั้งวางไว้ในห้องๆนึงอีกห้องนึงมาวางรวมในโต๊ะหมู่บูชาของหิ้งพระด้วย โดยไม่ได้บอกอะไรเรา
- ทุกวันผมจะออกไปทำงานคนละช่วงเวลากับแฟน บางครั้งก็จะออกสายๆ เนื่องจากเวลาเข้างานไม่ตรงกัน ทุกครั้งถ้าแกมีนัดต้องไปหาหมอที่ รพ แกจะขอติดรถให้ผมพาไปส่งที่ รพ ก่อนด้วย ซึ่งผมไม่เคยมีปัญหาใดๆ เพราะคือพ่อแม่ แค่ในบางวันที่มีประชุมด่วน ก็จะบอกแฟนว่าวันนี้ให้พ่อนั่งแท็กซี่ไปหาหมอแทนนะ และผมก็ให้เงินแฟนไว้ค่ารถ ซึ่งแฟนก็บอกพ่อไว้ตามที่บอก แต่เมื่อถึงเวลา แกก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จและนั่งรอบอกขอติดรถไปลงด้วยใกล้ๆ รพ ผมก็พูดไม่ออกต้องพาแกไปส่งเหมือนเดิม จนบางทีเข้าประชุมไม่ทัน
- หลายครั้งที่แกอยากออกไปที่ไหน เช่นไปงานบ้านน้องชายแก , ไปเยี่ยมญาตทางพี่สาวพ่อของแกป่วย ฯลฯ เราก็ช่วยขับรถพาแกไปหาเกือบทุกครั้ง แม้บางสัปดาห์เรามีงานค่อนข้างเยอะ และเหนื่อยมากๆอยากจะพักผ่อนเฉยๆสบายๆอยู่บ้านเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ เพราะแฟนก็กลัวพ่อจะไม่พอใจว่าทำไมเรื่องแค่นี้ทำให้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกระเตงออกกันไปทั้ง 3 คน(พ่อแม่ลูก) บางสัปดาห์ก็คุยยาวจนกลับถึงบ้านค่ำมืดอยู่บ่อยครั้ง
- และยังมีวีรกรรมต่างๆมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวมา พ่อตาของผมแกเหมือนจะเป็นคนรั้นพอสมควรเหมือนกัน คือฟัง แต่ไม่ยอมทำตาม แต่ผมก็ยังคงดูแลแกเสมอ ให้เงินแกใช้เสมอตามที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเรื่องกิน ความเป็นอยู่ใดๆ เหมือนพ่อคนนึง แต่ก็มีความอึดอัดบางอย่างพอสมควร เพราะรู้สึกเหมือนเราต้องกลับมาทำงานบ้านเพิ่มขึ้นซ้ำๆจากเดิมรวมถึงความส่วนตัวต่างๆที่ขาดหายไป เคยคุยกับแฟนหลายครั้ง แฟนก็รับฟัง ได้แต่เงียบๆไม่พูดอะไรต่อ ผมแค่ตกลงกับแฟนว่า ให้พ่อกลับไปอยู่บ้านเดิมก่อนไหม ตอนนี้ลูกชายก็เปิดเทอมแล้ว เราก็ให้ช่วงเย็นรถ โรงเรียนไปส่งที่บ้านเดิมให้อยู่กับพ่อแม่รอที่นั่นก่อน และเราค่อยไปรับ พ่อจะได้กลับไปอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ (พ่อตากับแม่ยายก็ไม่ค่อยถูกกัน) เราจะได้สบายใจขึ้น และให้ไปๆมาๆแทนอาทิตย์ละครั้ง
แฟนรับฟังก็เข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ก็นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่ทำอะไรต่อ ผมให้เกียรติแฟนให้พูดกับพ่อว่าช่วงนี้ลูกชายเปิดเทอมแล้ว พ่อกลับไปพักที่บ้านแบบเดิมก็ได้ เพราะตั้งแต่ช่วงแรกแฟนก็เป็นคนชวนพ่อตามาเอง เลยคิดว่าพ่อกับลูกสาวน่าจะคุยกันได้ดีกว่าผมที่เป็นลูกเขย จะดูเหมือนอยากให้แกกลับบ้าน แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม แฟนไม่พูดอะไร เราขาดความเป็นส่วนตัว รู้สึกอึดอัดมากขึ้น ผมก็ไม่มีความสุขในสภาวะตึงเครียดแบบนี้ ทั้งหลายๆเรื่องเข้ามา รวมทั้งเรื่องพ่อด้วย ผมผิดไหมที่คิดแบบนี้ กลับอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จริงๆผมเองตอนซื้อบ้านตั้งแต่แรก ก็ตั้งใจจะพาแม่ตัวเองมาอยู่ที่บ้านนี้ด้วย เพราะแม่อยู่บ้านเดิมคนเดียวตั้งแต่พ่อเสียไปกับพี่ขาย เลยอยากดูแลแกใกล้ๆ ทำห้องไว้แล้วให้แก แต่แกยังไม่ยอมมา เพราะยังรักบ้านเดิม ผมเลยคิดว่าถ้าเป็นแม่ผมเอง ผมก็อาจจะอึดอัดใจเหมือนกัน เลยยังคิดหาทางไม่ออก
โดยจากเรื่องนี้ก็มีชาวเน็ตหลายท่าน เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมาย พร้อมทั้งแนะนำว่าถ้าหากอึดอัด ก็ควรจะพูดไปตามตรง หรือพูดผ่านทางภรรยาก็ได้ จะได้ไม่ต้องทนอึดอัดต่อไป
ขอขอบคุณที่มาจาก : สมาชิกหมายเลข 1909754