เฉลิมพล ผู้ใหญ่บ้านแหนบทอง แนะรัฐบาลเร่งแก้จน
เจ้าของฉายาหมอลำอัจฉริยะ 'เฉลิมพล มาลาคำ' เผยความในใจหลังรับรางวัลผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยมปี 2562 บอกผู้นำต้องตัวเล็กกว่าประชาชน ไม่ปกครองแบบเผด็จการ แนะรัฐบาลเร่งแก้จนสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษอีสาน
'เฉลิมพล มาลาคำ' ในบทบาท 'ผู้ใหญ่หำ' ผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าเจริญ หมู่ 11 ตำบลท่าลาด อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพิ่งได้รับรับรางวัลผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยมปี 2562 มาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 จากกระทรวงมหาดไทย
เผยถึงความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลผู้ใหญ่บ้านแหนบทองว่า ตลอด 5 ปีที่ทำหน้าที่นี้มาต้องดูแลเอาใจใส่ลูกบ้าน และต้องแบ่งเวลาในการทำงานดนตรีไปพร้อมๆ กัน เช่น การรับงานร้องเพลงและแต่งเพลง ซึ่งใช้วิธีการสร้างทีม โดยมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3 คน ดูแลงานแทนเวลาที่รับงานต่างจังหวัด 3 ด้าน คือ ด้านบัญชี ด้านทำครัวดูแลงานวัดช่วยเหลืองานบุญในหมู่บ้าน และด้านป้องกัน คอยดูแลรับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งรับงานร้องเพลงอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้ช่วยไลน์มาบอกว่ามีคนลักลอบตัดไม้พะยูง ตนก็สั่งการทางไลน์ให้ประกาศที่หอกระจายข่าวให้ตั้งด่านดักทุกเส้นทางตอนเวลาตี 2
เฉลิมพล มองว่า ความท้าทายที่สุดในฐานะผู้ใหญ่บ้าน คือ การสร้างความสมัครสมานสามัคคีกันในหมู่บ้าน โดยเฉพาะหมู่บ้านของตนที่มีประชากรจากหลายเผ่าหลายเชื้อชาติ ประกอบกับอยากช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถทำงานหารายได้มาเลี้ยงชีพๆ ได้พอเพียง จึงตัดสินใจเอาเงินเดือนผู้ใหญ่บ้าน 8,000 บาทให้กับผู้สูงอายุทุกเดือนแถมเพิ่มเงินตัวเองเข้าไปอีกรวมแล้วหมื่นกว่าบาทเพื่อให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งผลพลอยได้คือทำให้ผู้สูงอายุในแต่ละบ้านเข้าร่วมประชุมหมู่บ้านอย่างสม่ำเสมอ ทุกเดือน และคนเหล่านี้คือกำลังสำคัญในการรับมอบนโยบายที่ตนได้รับมาจากอำเภอและจังหวัดไปถ่ายทอดต่อให้กับลูกหลานและคนในครอบครัว และตนยังสร้างตลาดหน้าหมู่บ้านให้ชาวบ้านมาขายของได้ฟรี และหาวงหมอลำมาลงทุกสัปดาห์เพื่อดึงดูลูกค้า แต่ด้วยความแห้งแล้งและวิกฤติเศรษฐกิจทำให้การค้าขายในชุมชนไม่ดีไปตามๆ กัน แนะรัฐบาลกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจสู่อีสาน ลดการกระจุกตัวในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ ปัญหาของชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เจอคือ คนหนุ่มสาวย้ายไปทำงานในกรุงเทพฯ ทิ้งผู้สูงอายุอยู่กับเด็ก เพราะไม่มีงานทำ ยากจนและเศรษฐกิจไม่ดี จึงอยากเรีกยร้องให้รัฐบาลกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจผ่านโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือเขตอุตสาหกรรม ในพื้นที่ภาคอีสานให้ชาวบ้านหนุ่มสาวมีงานทำ และจะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นไปด้วย ตนมองว่าแม้พื้นที่อุบลราชธานีจะไม่ติดทะเล แต่ติดกับกัมพูชาและ สปป. ลาว สามารถขนส่งสินค้าไปยัง 2 ประเทศนี้ได้ รวมทั้งเวียดนามและจีนด้วย ขณะที่กรุงเทพฯ ก็จะไม่แออัดทั้งรถและคน ดีกว่าการให้เงิน 300 ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่กินแล้วก็หมดไป
"ท่านช่วยเหลือตรงนี้ไม่ได้หรอกครับ ไอ้สามสิบบาทสี่สิบบาท บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กินแล้วก็หมด เดือนนี้ไปเบิก เงิน 300 ไปทำอะไรได้ ขนาดผมให้ 200 ผมรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่ผมให้เฉยๆ เพราะมันเงินผม แต่เงินรัฐบาลนี่มันเยอะนะครับ มันทั่วประเทศ เงินภาษีราษฎร ทำอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเถอะครับ โยนมาเป็นก้อนมาพัฒนาด้านเศรษฐกิจดีกว่า อันนี้ชัวร์ จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองในทุกเขตพื้นที่ แต่บ้านเราสิ่งที่มันเจริญก็ไปรวมอยู่ในที่เดียว คนก็ไปรวมกันที่นั่น"
ปัญหาที่กระทบชาวบ้านสุดๆ ตอนนี้ คือ ภัยแล้ง ชาวบ้านกู้เงินมาทำนา มาไถ่ปลุก เช่านา ค่าปุ๋ย ไม่ได้อะไรเลย ซึ่งรัฐบาลควรขยันทำฝนเทียมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเงินชดเชยเพียงไร่ละ 1,500-2,000 กว่าจะถึงหน้าฝนก็ใช้กินจนหมดแล้ว ขณะที่เกษตรกรเองก็ต้องขยันทำมาหากินในรูปแบบอื่นๆ ด้วยจะอะไรก็รัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้
ส่วนปัญหายาเสพติดที่กำลังระบาดอย่างหนัก ตนในฐานะผู้ใหญ่บ้านก็พยายามตรวจตราและป้องกันอยู่ แต่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เด็ดขาด ขณะเดียวกันอยากให้พ่อแม่หลายคนปรับวิธีคิดใหม่ อย่าปิดบังและปกป้องลูกเพราะกลัวการบำบัดซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เจ้าหน้าที่ไม่ได้เอาไปฆ่า เพียงแต่ปรับพฤติกรรมในกินนอนตรงเวลา มีการดูแลที่ดีกว่าปล่อยให้อยู่ในชุมชน
หนุนภาครัฐขึ้นเงินเดือนผู้ใหญ่บ้านเพิ่มประสิทธิภาพดูแลชุมชน
ขณะเดียวกันมองว่า เงินเดือนผู้ใหญ่บ้าน 8,000 บาทไม่เพียงพอสำหรับการทำงานจริง เพราะผู้ใหญ่บ้านมีภาระที่ต้องรับผิดชอบทั้ง ค่าน้ำมันรถในการตรวจพื้นที่ีดูแลชาวบ้าน 24 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ส่งรถ ค่าเทอมลูก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีภาษีสังคมที่ต้องใส่ซองในงานบุญต่างๆ เช่น งานบวช งานศพ งานแต่งงาน ดังนั้นในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี การดูแลครอบครัวยังเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว จะดูแลลูกบ้านได้อย่างไร เพราะตนเองก็ยังพอมีเงินจากอาชีพศิลปิน แต่ผู้ใหญ่บ้านคนอื่นคงจะลำบากในช่วงเวลาแบบนี้ ตนมองว่าผู้ใหญ่บ้านควรได้รับเงิน 30,000 บาทต่อเดือน
"คนที่ใกล้ชิดลูกบ้านที่สุดก็คือผู้ใหญ่บ้าน คนอื่นไม่รู้เรื่องหรอก แม้กระทั่งเจ้านายใหญ่ก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาเป็นอะไร เพราะว่าเราอยู่กับชาวบ้านเรารู้ว่าเขาเดือดร้อน คนไหนเป็นอะไร ค้ายาบ้าหรือเปล่า? เราเท่านั้นที่รู้ ไม่มีผู้ใหญ่บ้านคนไหนไม่รู้หรอกว่าลูกบ้านตัวเองทำอะไร นอกจากจะทำเฉย ทำเป็นไม่รู้" ผู้ใหญ่เฉลิมพลกล่าว
ไม่สนเล่นการเมืองท้องถิ่น-ประเทศ เตรียมวางมือกลับวงการหมอลำเต็มตัว
นายเฉลิมพล เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีหลายคนมาชวนให้ลงสมัครเล่นการเมืองท้องถิ่นในระดับที่ใหญ่ขึ้น แต่เห็นว่า นักการเมืองก็คือนักการเมือง นักปกครองก็คือนักปกครองต้องดูแลท้องที่ แต่ท้องที่คือคนที่ใกล้ชิดราษฎรที่สุด ไม่อยากให้เทศบาลยกเลิกตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เพราะผู้ใหญ่บ้านคือคนที่รู้จักชาวบ้านดีที่สุด เวลามีเรื่องอะไรก็จะให้ผู้ใหญ่บ้านแก้ปัญา เจรจา ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
นายเฉลิมพลยังเตรียมตัวจะวางมือในอายุ 60 ปี เพื่อกลับมาสู่วงการเพลงอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปกว่า 6 ปี
"เราเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีโกงไม่มีกิน เพราะมันไม่มีเงินจะให้โกง แต่ถ้าเกิดไปเป็นอย่างอื่นมีเงินไหลเข้ามาเราอาจจะหลงผิดไปทำมิดีมิร้าย เราก็จะเสีย เราขอกลับไปเป็นศิลปิน เป็นครูบาอาจารย์ให้ลูกศิษย์ลูกหา เพราะห่างเหินไปเกือบ 5-6 ปี"
ผู้ใหญ่หำ กล่าวทิ้งท้ายว่า หลักการในการปกครองคือ ต้องไม่ใช้อำนาจ ต้องให้ประชาชน ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าเรามีเหตุผล และต้องไม่เผด็จการ แต่ต้องเล็กกว่าชาวบ้านของเรา
"เราอย่าปกครองด้วยเผด็จการ เราต้องปกครองคนแบบคุณธรรมและศีลธรรม บางท่านอาจจะปกครองแบบเผด็จการ ใช้อำนาจ มันไม่ใช่ มาเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่เคยใช้อำนาจ มีแต่พูดอะลุ่มอะหล่วย ไม่เคยขู่ ตอนยังไม่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ร้ายมาก เป็นนักเลงใหญ่แถวนี้เลยแหละ แต่พอเป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำแล้ว เรามีความรู้สึกว่าเราเล็กกว่าเขา เราเล็กกว่าชาวบ้าน เราไม่สามารถที่จะใช้อำนาจอะไรกับเขา เราต้องให้เขา" ผู้ใหญ่หำกล่าวฯ
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.in.th ขอขอบคุณที่มา : voicetv,เฉลิมพล มาลาคำ