ประสบการณ์ตรง จากคนลาออกจากงานประจำกลับไปอยู่บ้านตจว. คุ้มไหม
เป็นเรื่องที่หลายคนต่างสงสัยและสอบถามกันอยู่เสมอ กับการทำงานในเมืองหลวง ที่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบางคน เพราะสภาพอากาศที่ไม่ได้น่าอยู่ สภาพแวดล้อมอันอึดอัด เบียดเสียดแย่งชิง จนหลายคนโหยหาความเป็นชนบท โหยหาความสงบสุขของต่างจังหวัด
และผู้คนมากมาย ตัดสินใจลาออกจากงานประจำในเมืองกรุง เพื่อกลับไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด เช่นเดียวกับสมาชิกพันทิปหมายเลข 3296124 ที่เธอมีความคิดที่จะกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด ใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ โดยเธอได้มาตั้งกระทู้สอบถามว่า
"ถามประสบการณ์ของคนที่ลาออกจากงานประจำ แล้วกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด สวัสดีค่ะ เราและแฟนคิดเรื่องจะลาออกจากงานประจำในเมืองหลวง แล้วกลับไปใช้ชีวิตอยู่ทีบ้านต่างจังหวัดค่ะ แฟนเป็นคนเกิดมาในครอบครัวชาวกรุง ไม่มีญาติพี่น้องในต่างจังหวัด ส่วนเราโตมาในตัวเมืองของต่างจังหวัด แล้วได้งานราชการทำที่เมืองหลวง เรามีลูกคนแรกซึ่งปัจจุบันอายุ 2 ขวบ คนที่สอง อยู่ในครรภ์ค่ะ
เมื่อไหร่ที่ได้หยุดยาวๆ เราจะพาแฟนกลับบ้านต่างจังหวัด แกชอบความเป็นชนบทแทบทุกอย่าง อากาศดี รถไม่ติด ฯลฯ เรา 3 พ่อแม่ลูก มีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับ โดยเฉพาะตัวเราเอง เหมือนมันปลดเปลื้องทุกความตึงเครียดเลยก็ว่าได้ พูดกับตัวเอง นี่แหละคือส่งที่ใช่
และเป็นความตั้งใจ/ความชอบส่วนตัวของแฟนด้วยที่แกชอบด้านเกษตรกรรม ความฝันของแกคืออยากทำไร่ แล้วเลี้ยงลูกให้โตมากับสภาพแวดล้อมแบบธรรมชาติ ซึ่งนับเป็นความตั้งใจของเราทั้ง 2 คน วาดฝันกันว่าอยากเลี้ยงลูกให้โตมาในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ สอบการใช้ชีวิต เก็บผัก เลี้ยงสัตว์
ทุกวันนี้ เราทำงานไปแบบงั้นๆ เพราะแผนในหัวที่คิดว่าจะลาออกนั้นแล่นเข้ามาในความคิดตลอด สภาพแวดล้มที่ทำงานเราถือว่าดีมาก หัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานดี อายุปัจจุบันย่าง 30 ปี เงินเดือนปัจจุบันทั้งเราและแฟน ตกประมาณคนละ 35k อาจจะถือว่าไม่มาก แต่เราใช้กันพอไม่เดือนร้อน
เช้า-เย็น นั่งรถไปทำงานด้วยกัน เหมือนไม่มีกะจิตกะใจทำงานค่ะเหมือนมันถึงจุดพีคกับการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ เบื่อเซ็งไปหมด เหมือนกำลังทำสิ่งที่ตัวเองต่างไม่ต้องการ เหมือนในหัวมันบอกว่าสิ่งที่ทำ ไม่ใช่ความสุขเลย เพราะเราต่างต้องแข่งกับ "เวลา" ในแต่ละวัน ไม่มีความสุขเลย บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ นาๆ ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับอยู่ต่างจังหวัด เราต่างมีเงินเก็บบ้าง แต่ไม่มาก
เราคำนวนกันแล้วว่า การไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัดทำให้เรา cut cost ไปในหลายๆด้าน พ่อแม่เราอยู๋กันแบบ 2 ตายาย ซึ่งท่านค่อนข้างดีใจด้วยซ้ำ หากเราจะเข้าไปอยู่ด้วย แต่เราก็ตั้งใจไว้ในอนาคตต่อไปอีก เราอาจจะแยกกันอยู่ต่างบ้าน (แต่ยังใกล้กับบ้านพ่อแม่) เพื่อให้ไปมาหาสู่กันสะดวก
อยากถามเพื่อนๆว่า ใครมีประสบการณ์แบบลาออกจากงานแล้วไปใช้ชีวิตตามชนบท ปลูกผัก ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ทำนองนี้บ้างคะ? สภาพทางเศษรฐกิจมีผลมากไหม กับการไปใช้ชีวิตตามชนบทแบบที่เราพูดถึง ? ช่วงแรกปรับตัวยากไหม?
แล้วอะไรที่ถือว่าเป็น challenge อันดับต้นๆ สำหรับเพื่อนๆคะ? เราทั้ง 2 คน ค่อนข้างแน่ใจค่ะว่านั่นคือชีวิตแบบที่เราต่างต้องการ แต่ส่วนตัวเราเอง เรายอมรับว่า ตัวเองก็อดกังวลนิดๆ ไม่ได้ เพราะมันเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สำหรับเราค่ะ"
ความคิดเห็นจากคุณ Jarunya.b ก็อธิบายเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยเธอได้ระบุว่า
"เราและสามีมาอยุ่บ้าน เพื่อทำงานเกษตรค่ะ แต่เป็นเกษตรแบบเชิงเดี่ยว เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นพ่อ มีครบทุกอย่างทั้งเงินทุน จากเงินเก็บที่เราทำงานกันสองคน เครื่องจักร พื้นที่ แถมมีลูกน้องสมัยพ่อที่พร้อมจะกลับมารับจ้าง
ภาพที่เราคิดไว้คือเกษตร 4.0 ใช้เครื่องทุ่นแรง ใช้เทคโนโลยี ลดการใช้คน เข้าหาวิชาการ แต่บอกเลยทำมาสิบเอ็ดปี ยังไม่ครึ่งทางเลยค่ะ ทำเกษตรมันมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เยอะมาก ถ้าคุณจะทำเพื่อเลี้ยงชีพ มันก็ไม่ต่างจากการทำงานอื่นๆ
ไม่มีทางเลี่ยงจากความเครียด เราต้องคุมต้นทุน เราต้องทะเลาะกับคน ไม่ว่าจะคนของเรา คนที่สายอาชีพเดียวกัน คนจากภาครัฐ คนขายของที่พร้อมจะทำกำไรจากเราไม่ว่าจะขายอะไร
คุณนึกภาพมีคนโทรมาตอนตีสอง ว่ามีโขมยในไร่เรา กำลังขุดหรือเก็บผลผลิตที่เรารอเก็บเกี่ยว หรือเราไปเจอวัวฝูงนึงกำลังกินต้นอ่อนของพืชที่เราเพิ่งลงปลูกสามสิบไร่มันกินแค่สองสามชั่วโมงหมด ตามไปเจอเจ้าของวัว ทะเลาะจนจะชกต่อยกัน
นึกภาพคุณต้องรอฝน ตอนที่ต้นไม้เรากำลังจะโต หรือนึกถึงว่าเภาวนาให้ฝนไม่ตกที่ไร่ วันที่เราเพื่งใส่ปุ๋ยหมดไปสองหมื่น
แล้วเกษตรเชิงเดี่ยว ที่มีฤดูกาลเก็บเกี่ยว ยิ่งกว่าทำงานโรงงานอีกนะคะบางที ต้องไปนอนเฝ้าเครื่องจักร เอาง่ายๆ ระบบน้ำหยด ไม่เฝ้า ท่อน้ำ ปั้มน้ำ หายกลางวันแสกๆก็มี ถังน้ำพลาสติกยังเอา
สามีเราช่วงเก็บเกี่ยว ออกบ้านเจ็ดโมง บางวันกลับห้าทุ่ม ตีหนึ่งยังมีร เพราะรถเสีย รถไถเอย รถบรรทุกเอย บางอาทิตย์ไม่เจอหน้าลูกเลย
ทำงานแข่งกับเวลาไม่ต่างกันกับงานอื่น เพราะระยะเวลาเก็บเกี่ยว ตลาดรับซื้อ ระยะเวลาขาย ฤดูกาล ภัยธรรมชาติ เป็นปัจจัยบีบคั้น
ทำเกษตรไม่ใช่งานสบายค่ะ มันอาจจะสบายตา แต่ไม่สบายตัวและสบายใจ ถ้าไม่มีแรง ทำไม่ได้หรอก จริงๆนะ เราอยากบอกคนที่มาทำสวนตอนเกษียณ ถ้าไม่แข็งแรง ทำไม่ได้ค่ะ เราไม่สามารถจ้างคนมาทำแทนได้ตลอด ปัญหาแรงงานบ้านเรามันเยอะ อย่างน้อย ตัดหญ้า ถางโคนต้น หรือยกของ พวกนี้เราต้องทำเอง ถ้าไม่แข็งแรง ทำยากค่ะ
เจ้านายเก่าเราสองสามคน ซื้อสวนผลไม้ กะว่าจะทำตอนเกษียณ ก็ได้ทำจริงๆค่ะ แต่ทำไม่พอขาย เพราะมันขายทำกำไรไม่ได้ 555 ต้องแจกหรือขายเหมาถูกๆ
สวนผลไม้ ละเลยมันหน่อยนึงไม่ได้เลย ยิ่งทุเรียน ลองกอง มังคุด ต้องเฝ้าติดตาม มันถึงจะงามพอขายได้
เจ้านายเรายังยอมรับเลยว่า แกแข็งแรงแต่บางทีก็ไม่ไหว งานเกษตรเลี่ยงการใช้แรงไม่ได้จริงๆ
ถ้าอยากทำ เราอยากให้มองว่า มันเป็นงานที่เราต้องทุ่มเท ไม่ใช่งานที่มาทำเอาสบายใจอย่างเดียว โดยเฉพาะการทำเกษตรเลี้ยงชีพ ต้องรอบคอบ มองระยะยาว การเมือง ระบบเศรษฐกิจ มีผลมากค่ะกับอาชีพนี้
การประชาสัมพันธ์ สื่อโซเชียล การติดต่อกับผู้คนก็แทบจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว
อีกอย่าง ทำเกษตรในต่างจังหวัด อย่าลืมมองเรื่องลูกนะคะ ทั้งการศึกษา คุณภาพชีวิต และสวัสดิการที่ได้รับ ถ้าทำราชการแล้วมันดีเรื่องพวกนี้ น่าเสียดายนะคะ
ไม่ใช่ไม่อยากให้มาทำนะคะ อยากเห็นเพื่อนร่วมอาชีพที่ทำด้วยใจรักมองการเกษตรแบบก้าวหน้า มันช่วยพัฒนาสังคมได้มากกว่าการมองงานเกษตรเป็นที่พักใจ"
ความคิดเห็นจากชาวเน็ต
มันไม่ง่าย
ทำงานอย่างอื่นก็ได้
เป็นความต้องการของใครหลายๆคนอย่างแน่นอนที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตที่ไม่มีความวุ่นวาย สภาพการจราจรไม่ติดขัด ไม่ต้องแก่งแย่งกันทำมาหากิน มีอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งก็น่าจะคุ้มสำหรับใครหลายๆคน
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.in.th, ขอขอบคุณที่มาจาก : สมาชิกหมายเลข 3296124